อ้วนลงพุง ลดยังไง? สาเหตุเกิดจากอะไร? สามารถป้องกันและรักษาได้อย่างไร

อ้วนลงพุงลดยังไง

พุงยื่น พุงย้วย อ้วนลงพุง ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะเป็น เพราะแน่นอนว่าหากเป็นแล้วจะทำการลดได้ยากแบบสุดๆ แต่ความกังวลใจนี้จะหมดไป เพราะในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีแก้ปัญหาอ้วนลงพุงที่สามารถทำตามได้ง่ายและเห็นผลไวเอาใจคนใจร้อน

อ้วนลงพุง คืออะไร?

“อ้วนลงพุง” คืออะไร

ปัญหาอ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome) คือกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญของอาหารกายส่งผลให้มีอาการไขมันสะสมเป็นจำนวนมากที่บริเวณหน้าท้อง ซึ่งอาการดังกล่าวนอกจากจะส่งผลต่อประเด็นของรูปร่างและความมั่นใจแล้ว ยังส่งผลต่อระดับความดันโลหิตและระบบน้ำตาลในเลือดจนนำไปสู่โรคเบาหวาน โรคหัวใจได้อีกด้วย

อ้วนลงพุง เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง?

หากจะให้พูดถึงในส่วนของปัญหาและสาเหตุของการอ้วนลงพุงนั้นจะสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 สาเหตุใหญ่ๆ ด้วยกันดังนี้

  • ขาดการออกกำลังกาย
    แน่นอนว่าเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปจำนวนมากแต่ไม่ได้มีการออกกำลังกายเพื่อช่วยระบบเผาผลาญก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาไขมันสะสมตามจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขนหรือหน้าเป็นต้น
  • ทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป
    เนื่องจากอาหารจำพวกนี้ต่างก็มีทั้งไขมัน น้ำตาลและกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่เป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเซลล์ไขมันตามจุดต่างๆ ในร่างกาย
  • กรรมพันธุ์
    แน่นอนว่าหากมีบุคคลในครอบครัวที่มีปัญหาโรคอ้วน หรือมีอาการอ้วนลงพุงก็มีสิทธิ์ที่จะมีการสืบทอดโรคดังกล่าวผ่านทางพันธุกรรมได้ด้วยเช่นกัน
  • การทานยาบางกลุ่ม
    ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอินซูลิน สเตียรอยด์ ยากันชัก รวมไปถึงกลุ่มยาจิตเวชต่างๆ ที่จะมีส่วนสำคัญทำให้เกิดอาการบวมยาขึ้นได้
  • ปัญหาโรคต่างๆ
    จำพวกโรคเกี่ยวกับกลุ่มต่อมไร้ท่อ เช่น กลุ่มอาการคุชชิ่ง (Cushing Syndrome) ภาวะไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) โรคถุงน้ำในรังไข่ (Polycystic ovary syndrome หรือ PCOS)

อ้วนลงพุง มีกี่แบบ?

อ้วนลงพุงมีกี่แบบ

ต่อไปเรามาดูกันบ้างว่าลักษณะการอ้วนลงพุงนั้นจะมีด้วยกันทั้งหมดกี่แบบ และแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

  • พุงเครียด (Stressed Belly)
    มีลักษณะหน้าท้องยื่นเป็นชั้นๆ ออกมาในช่วงสะดือและกะบังลม โดยมีสาเหตุมาจากความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาแฟอีนมากเกินไป และการทานอาหารที่ไม่เป็นเวลา ซึ่งพุงเครียดถือเป็นสัญญาณการบอกถึงโรคลำไส้แปรปรวนที่จะส่งผลให้ร่างกายมีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย
  • พุงหมาน้อย (Hormonal Belly)
    มีลักษณะคือพุงด้านล่างจะห้อยลง แต่พุงด้านบนจะมีความเรียบ มีสาเหตุมาจากการชอบทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารหวาน อาหารจำพวกแป้งอย่างเช่น ข้าว ขนมปัง ที่ส่วนใหญ่มักจะพบในกลุ่มชาวออฟฟิศที่หรือกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ และกลุ่มคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายอีกด้วย
  • พุงกลม (Alcohol Belly)
    มีลักษณะเป็นพุงกลมๆ ยื่นออกมาที่หน้าท้อง มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ที่มีน้ำตาลและแคลอรีสูงเป็นจำนวนมากๆ เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้จะไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหารทำให้เกิดพุงกลมขึ้นนั่นเอง
  • พุงคุณแม่ (Mummy Tummy)
    มีลักษณะพุงที่ห้อยลงมา มักพบได้กับเหล่าคุณแม่หลังคลอด โดยมีสาเหตุมาจากมดลูกยังไม่เข้าอู่ ซึ่งพุงประเภทนี้จะค่อยๆ หายไปเองเมื่อร่างกายเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่เหล่าคุณแม่ก็ควรที่มีการออกกำลังกายเบาๆ เพื่อช่วยให้พุงหายไปไว้ยิ่งขึ้นได้
  • พุงป่อง (Bloated Belly)
    พุงแบบนี้จะมีลักษณะคล้ายกับพุงกลม แต่จะแตกต่างตรงที่ในช่วงเช้าพุงจะมีลักษณะแบน และจะเริ่มป่องอย่างเห็นได้ชัดในช่วงกลางวัน โดยมีสาเหตุมาจากการ มีแก๊สในกระเพาะอาหารเป็นจำนวนมากทำให้เกิดอาการท้องอืด รวมไปถึงการรับประทานอาหารที่ทำให้ย่อยยากอีกด้วย

หลักเกณฑ์วินิจฉัยอาการอ้วนลงพุง

หลักเกณฑ์การวินิจฉัยอาการอ้วนลงพุงนั้น ตามหลักทางการแพทย์ จะต้องทำการตรวจวินิจฉัยตรวจร่างกายตรวจเลือด โดยผู้ป่วยอ้วนลงพุงนั้นจะต้องมีความผิดปกติอย่างน้อย 3 ข้อจากใน 5 ข้อดังต่อไปนี้

  • เส้นรอบเอว คนอ้วนลงพุงจะมีเส้นรอบเอวตั้งแต่ 80 เซนติเมตรขึ้นไปในเพศหญิง และตั้งแต่ 90 เซนติเมตรขึ้นไปในเพศชาย
  • ระดับคอเลสเตอรอล (HDL) เพศหญิงจะต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เพศชายจะต่ำกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ระดับความดันโลหิต คนอ้วนลงพุงจะมีความดันโลหิตอยู่ที่ตั้งแต่ 130/85 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป
  • ระดับน้ำตาลในเลือด โดยจะมีค่าน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ตั้งแต่ 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป
  • ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ อยู่ที่ตั้งแต่ 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป
    ซึ่งหากตรวจเช็คร่างกายแล้วพบว่า เรามีอาการตรงตามอย่างน้อย 3 ข้อ จาก 5 ข้อทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็จะถือว่าเรามีอาการอ้วนลงพุงนั่นเอง

วิธีวัดว่าคุณเป็นโรคอ้วนลงพุงหรือไม่

วิธีเช็คว่าอ้วนลงพุงหรือไม่

ในปัจจุบันจะใช้วิธีการวัดอยู่ 2 อย่างหลักๆ คือค่ารอบเอวและค่าดัชนีมวลกาย โดยเอาผลของทั้งคู่มาประกอบกันนั่นเอง

  • ค่ารอบเอว ผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร หรือ 32 นิ้ว ผู้ชายไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร หรือ 36 นิ้ว
  • ค่าดัชนีมวลกาย โดยคำนวณมาจากสูตรดังนี้ต่อไป
  • ค่าดัชนีมวลกาย (BMI)=น้ำหนักตัว (kg)÷ส่วนสูง (m)2

โดยค่าที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 18.5-22.9 กิโลกรัม/เมตร ซึ่งหากผลออกคำนวณออกมามากหรือน้อยกว่าจะได้ค่าดังนี้

  • น้อยกว่า 18.5 หมายถึงผอม
  • มากกว่า 22.9 ขึ้นไป – 24.9 หมายถึงน้ำหนักเกิน
  • มากกว่า 25 ขึ้นไป หมายถึงอ้วน

อ้วนลงพุงส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

อ้วนลงพุงส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

ปัญหาการอ้วนลงพุงนั้นนอกจากจะส่งผลเสียในด้านความมั่นใจ ในรูปร่างแล้ว ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ดังนี้

  • โรคหัวใจ
  • โรคหอบหืด
  • โรคกรดไหลย้อน
  • โรคเบาหวาน
  • โรคไขมันในเลือดสูง
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • ภาวะไขมันพอกตับ
  • โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
  • โรคอัลไซเมอร์
  • หากเกิดในหญิงตั้งครรภ์ที่ จะมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและภาวะครรภ์เป็นพิษ
  • ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

อ้วนลงพุงในผู้หญิงและผู้ชายต่างกันไหม

ปัญหาอ้วนลงพุงนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในทั้งเพศชายและเพศหญิง ซึ่งจะมีสาเหตุและปัจจัยการเกิดที่เหมือนกัน แต่ในเพศหญิงจะมีอีกหนึ่งปัจจัยเพิ่มขึ้นมานั้นก็คือ อาการอ้วนลงพุงหลังคลอดหรือมีอีกชื่อเรียกว่า “พุงหลังคลอด” ที่จะมีลักษณะหน้าท้องหย่อนยาย มีรอยแตกลายร่วมด้วยในบางราย

อ้วนลงพุงแล้วทำไมถึงปวดหลัง

การที่เรามีน้ำหนักตัวที่มากและมีปัญหาอ้วนลงพุงนั้นจะทำให้หลังของเรามีลักษณะที่แอ่นขึ้นมาจากการหน้ากล้ามเนื้อหน้าท้องเกิดการอ่อนแรงลงโน้มลงตามแรงโน้มถ่วง ส่งผลให้นานเข้าจะมีอาการปวดหลังได้ง่าย และอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้ออักเสบ รวมไปถึงปัญหากระดูกสันหลังเสื่อมตัวได้เร็วขึ้นอีกด้วย

วิธีแก้ปัญหาอ้วนลงพุงด้วยตนเอง

โดยเราได้นำมาวิธีมาฝากด้วยกันทั้งหมด 4 วิธีด้วยกัน ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถทำตามได้ง่าย ประหยัดค่าใช้จ่ายแต่ก็ต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการทำจึงจะเห็นผลลัพธ์

ออกกำลังกายลดพุง

ออกกำลังกายลดพุง

ถือเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะในการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกาย พร้อมช่วยกระชับรูปร่างได้ดีอีกด้วย แต่แน่นอนว่าการจะใช้วิธีนี้นั้นจะต้องมีการทำอย่างสม่ำเสมอทุกวันอย่างน้อยวันละ 15-45 นาที โดยท่าออกกำลังกายที่แนะนำก็คือ

  • ท่า Crunches ทำครั้งละ 2-3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง
  • ท่า Flutter Kicks ทำครั้งละ 2-3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง
  • ท่า Planks ทำครั้งละ 2-3 เซต เซตละ 30 วินาที
  • ท่า Russian Twist ทำครั้งละ 2-3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง
  • ท่า Low Belly Leg Reach ทำครั้งละ 2-3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง

ควบคุมการทานอาหาร

ควบคุมการทานอาหารลดพุง

อาทิเช่น การทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ งดของทอด ของมัน ของหวาน รวมไปถึงอาหารฟาสฟู้ดต่างๆ ที่มีไขมันและน้ำตาลสูง นอกจากนั้นก็ควรคำนวณปริมาณแคลอรีที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันดังนี้ ผู้หญิงประมาณ 1500 – 2000 แคลอรี และของผู้ชายประมาณ 2000 – 2500 แคลอรี

รักษาระดับอารมณ์

รักษาระดับอารมณ์

แน่นอนว่าปัจจัยทางด้านอารมณ์ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากในเรื่องของรูปร่างและน้ำหนัก โดยมีงานวิจัยออกมาแล้วว่าคนที่มีปัญหาความเครียด นอนไม่หลับจะทำให้ร่างกายอ้วนลงพุงได้ง่ายกว่าคนที่มีจิตใจแจ่มใส เพราะเมื่อเรามีความเครียดร่างกายจะทำการหลังฮอร์โมน Cortisol ออกมาซึ่งจะทำให้เกิดอาการอยากทานของหวานหรือน้ำตาลมากกว่าปกตินั่นเอง

งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

เพราะว่าทั้งบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นต่างมีปริมาณแคลอรีที่สูงมากๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักๆ ในการเกิดไขมันสะสมในร่างกาย นอกจากนั้นยังส่งผลเสียต่อร่างกายที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคตับแข็ง โรคมะเร็งปอด เป็นต้น

แก้ปัญหาลดอ้วนพุงด้วยหัตถการทางการแพทย์

ต่อไปเรามาดูกับบ้างว่ามีหัตถการทางการแพทย์อะไรบ้างที่ช่วยแก้ปัญหาพุงยื่น พุงหย่อนคล้อยและอ้วนลงพุงได้ดีอีกบ้าง ซึ่งเราก็ขอแนะนำทั้งหมด 6 วิธียอดฮิตดังนี้

CoolSculpting สลายไขมันลดพุง

CoolSculpting

คือเครื่องสลายไขมันด้วยความเย็น โดยใช้หลักการแช่แข็งเซลล์ไขมันให้เกิดการแข็งตัวด้วยอุณหภูมิที่ -11 องศาเซลเซียส ด้วยหัวดูดที่จะทำการดูดผิวบริเวณที่มีไขมันสะสมจำนวนมากเข้าไปแล้วทำการปล่อยความเย็นแช่แข็งเซลล์ไขมันในชั้นผิวทิ้งไว้ประมาณ 30-35 นาทีเพื่อให้ไขมันดังกล่าวเกิดการแข็งตัวเป็นก้อน จากนั้นก็จะทำการนวดเพื่อให้เซลล์ไขมันเกิดการตายตัวและค่อยๆ ถูกขับออกจากร่างกาย

  • ข้อดี : ไม่ต้องกังวลเรื่องการเจ็บตัว หรือแม้แต่การพักฟื้นร่างกายหลังทำ นอกจากนั้นยังแทบไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วยและยังไม่เป็นอันตรายต่อผิวชั้นนอกอีกด้วย เพียงแค่หลังทำอาจจะมีอาการผิวแดงจากความเย็น และอาจมีอาการบวมเล็กน้อยในบางรายซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 2 สัปดาห์
  • ข้อเสีย : เหมาะกับคนที่มีไขมันในระดับปานน้อย-ปานกลางเท่านั้น และหากต้องการเรื่องของสัดส่วนที่ลดลงจะต้องใช้เวลาในการทำอย่างน้อย 4 ครั้งขึ้นไป โดยจะไม่สามารถเห็นผลได้อย่างทันทีหลังทำ

อ่านเพิ่มเติม : รวมข้อควรรู้ก่อนทำ Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น ทำแล้วเห็นผลจริงไหม?

ฉีดเมโสแฟต

ฉีดเมโสแฟต sisi body solution

เมโสแฟต (Meso Fat) เป็นการฉีดตัวยาเข้าไปช่วยสลายไขมันเฉพาะจุดในร่างกายทำให้เซลล์ไขมันเกิดการแตกตัวและถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางเหงื่อและปัสสาวะ โดยตัวยานั้นจะประกอบไปด้วย แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine), เมโสสตาบิล (Mesostabyl), ไทโรซีน (Tyrosine) และสารสกัดอาร์ติโชค (Artichoke extract) ที่มีส่วนช่วยในเร่งการเผาผลาญไขมัน ช่วยลดการเกิดเซลล์ไขมันใหม่เป็นต้น ซึ่งถือเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากและมีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ในปัจจุบัน

  • ข้อดี : ช่วยลดเซลล์ไขมันเฉพาะจุดได้ดี นอกจากนั้นยังช่วยแก้ปัญหาเซลลูไลท์ แก้ปัญหาผิวเปลือกส้มได้ และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวเพื่อให้ผิวมีความกระชับมากยิ่งขึ้น
  • ข้อเสีย : ไม่สามารถเห็นผลได้ทันที โดยจะต้องรอประมาณ 1-3 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผลและหลังทำอาจมีอาการบวมอันเนื่องมาจากการที่ร่างกายทำปฏิกิริยากับตัวยานั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม : เมโสแฟต คืออะไร ช่วยสลายไขมันจุดไหนได้บ้าง? เหมาะกับใคร

Sculpt Mus

sculpt Mus กระชับหน้าท้อง

เป็นเครื่องช่วยในการลดไขมันพร้อมสร้างกล้ามเนื้อด้วยเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง หรือ HIFEM (High Intensity Focused Electromagnetic) ด้วยหลักการกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อมีความหนาและแข็งแรงมากขึ้น และทำให้เซลล์ไขมันเกิดการสลายตัวไปอีกด้วย

  • ข้อดี : ช่วยสลายไขมันพร้อมกับสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ส่งผลให้นอกจากขนาดพุงจะลดลงแล้วยังช่วยทำให้มีซิกแพคหรือกล้ามหน้าท้องได้อีกด้วย
  • ข้อเสีย : หลังทำอาจจะรู้สึกได้ถึงความเหนื่อย เมื่อยร่างกาย เนื่องจากหลักการจะคล้ายกับการออกกำลังกายและจะไม่สามารถเห็นผลได้แบบทันที นอกจากนั้นจึงควรควบคุมอาหารเน้นการทานโปรตีนให้เหมาะสมจึงจะช่วยทำให้เห็นผลได้ไวยิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติม : สร้างซิกแพค ด้วย Sculpt-mus คืออะไร? ต้องทำกี่ครั้งเห็นผล? ได้ผลกับใคร

ใช้ปากกาลดน้ำหนัก

ปากกาลดน้ำหนัก

ปากกาลดความอ้วน ถือว่าเป็นยาลดน้ำหนักประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นแท่งคล้ายกับรูปของปากกา ซึ่งวิธีการใช้งานคือการฉีดตัวยาเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้ตัวฤทธิ์ยาไปกระตุ้นทำให้เราไม่รู้สึกหิว ไม่อยากทานอาหารและยังมีส่วนช่วยทำให้การบีบตัวของลำไส้ช้าลง ทำให้ระบบการย่อยอาหารของร่างกายทำงานได้ช้าลงตามไปด้วย จึงทำให้ทานอาหารได้น้อยลงและอิ่มเร็วขึ้นนั่นเอง

  • ข้อดี : ช่วยทำให้ความอยากอาหารลดลงทำให้ไม่รู้สึกหิว จึงทำให้น้ำหนักและสัดส่วนของร่างกายลดลงตามไปด้วยนั่นเอง
  • ข้อเสีย : เนื่องจากตัวยาจะไปรบกวนการทำงานของลำไส้จึงส่งผลทำให้อาจเกิดอาการท้องผูก หรือรู้สึกคลื่นไส้ได้ นอกจากนั้นวิธีการนี้ถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมากจึงทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ดูดไขมันหน้าท้อง

ดูดไขมันหน้าท้อง

การดูดไขมันหน้าท้อง (Abdominal Liposuction) เป็นการใช้เครื่องดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายโดยจะต้องทำภายใต้การดูแลของศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและจะต้องทำในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งวิธีนี้คนไข้สามารถปรึกษากับศัลยแพทย์ได้ว่าต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาประมาณไหน

  • ข้อดี : สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างทันที นอกจากนั้นยังสามารถผ่าตัดตกแต่งรูปทรงหน้าท้องไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาผิวหน้าท้องหย่อนคล้อยได้ดีอีกด้วย
  • ข้อเสีย : หลังจำจะต้องมีการพักฟื้นร่างกายประมาณ 1 สัปดาห์เนื่องจากหลังทำจะมีอาการเจ็บ และบวมช้ำในจุดที่ทำได้ นอกจากนั้นยังมีราคาค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ อีกด้วย

Z Lipo + Z Wave

แก้ปัญหาอ้วนลงพุงด้วย zwave zlipo

Z Lipo&Z Wave เป็นนวัตกรรมการสลายไขมันส่วนเกินด้วยความเย็นคล้ายกับเครื่อง CoolSculpting แต่จะมีการหลักการทำงานด้วยการทั้งหมด 2 รอบนั่นก็คือ รอบแรกจะใช้เครื่อง Z Lipo ด้วยการส่งความเย็นเข้าไปสั่นสะเทือนให้เซลล์ไขมันเกิดการแตกตัวจากนั้นจะใช้เครื่อง Z Wave เข้าไปช่วยทำให้เซลล์ไขมันที่แตกตัวแล้วเกิดการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อให้ถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางระบบน้ำเหลืองได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

  • ข้อดี : ช่วยสลายไขมันเฉพาะจุดได้ดี ไม่มีเจ็บตัวระหว่างทำและไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ นอกจากนั้นยังช่วยให้ผิวมีความกระชับเต่งตึงได้ดีอีกด้วย
  • ข้อเสีย : หลังทำอาจมีผลข้างเคียงคือการรอยแดง รอยช้ำขึ้นซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเอง และวิธีนี้ไม่สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ

สรุป

วิธีการแก้ปัญหาอ้วนลงพุงนั้นสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาด้วยตนเองอย่างการออกกำลังกาย การคุมอาหาร การงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือจะใช้หัตถการทางแพทย์อย่างเครื่องสลายไขมันอย่าง CoolSculpting, Sculpt Mus, Z Lipo + Z Wave หรือการฉีดยาสลายไขมันอย่างเมโสแฟต การดูดไขมันซึ่งวิธีดังกล่าวควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด และควรทำการศึกษาข้อมูลรายละเอียดให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำ

เอกสารอ้างอิง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง