ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ลดปัญหาใต้ตาลึกและคล้ำ ให้ดูสดใส ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ใต้ตาคล้ำ ตาโหล

ใครที่กำลังมีปัญหาริ้วรอยใต้ตา มีร่องใต้ตา ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา ตาลึก ตาโหล ขอบตาดำ ให้เกิดความวิตกกังวลใจมารวมกันอยู่ตรงนี้ได้เลยค่ะ เพราะวันนี้หมอจะมาแนะนำวิธีแก้ปัญหาตาลึกและคล้ำ และคืนสวยสดใส ดูอ่อนเยาว์ให้กับใต้ตาอีกครั้งด้วยการฉีดฟิลเลอร์ พร้อมเผยข้อเท็จจริงว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นอันตรายหรือไม่ ฉีดอย่างไรให้ปลอดภัย ดูเป็นธรรมชาติ ตาดูไม่บวม และไม่เป็นก้อนแข็ง

เลือกอ่านหัวข้อ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใคร

ฉีด filler ใต้ตา คืออะไร?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การเติมสารไฮยาลูรอนิค แอซิด หรือ HA ชื่อเต็มคือ Hyaluronic Acid เข้าเติมเต็มร่องลึก โดยปกติแล้วเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวจะเสื่อมสภาพลงทำให้ผิวเริ่มคล้อย รวมถึงกระดูกเบ้าตาจะยุบตัวลงด้วย ทำให้ใต้ตาเป็นร่องลึกขึ้นและมีริ้วรอยชัดเจนขึ้น ซึ่งใบบางกรณีอย่างคุณผู้ชายเมื่อลดน้ำหนักลงอาจมีใต้ตาลึกหรือเบ้าตาลึก

บางคนอาจดูหล่อขึ้นแต่กรณีในเคสผู้หญิงนั้น การที่ผิวใต้ตาถูกกดลึกลงไปหรือมีริ้วรอยทำให้ใบหน้าดูโทรม และดูมีอายุ แม้แต่คนที่อายุน้อยก็มีปัญหาใต้ตาลึกและมีริ้วรอยก่อนวัยได้เช่นกัน สาเหตุมาจากมลภาวะ ภูมิแพ้ หรือกรรมพันธุ์ ดังนั้น หากรู้สึกว่าใต้ตาเริ่มลึก หรือมีริ้วรอย สามารถเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาได้เลยค่ะ

ปัญหาใต้ตา ดำคล้ำ เกิดจากสาเหตุใด?

ใต้ตา ดำคล้ำ เกิดจากอะไร
  • พักผ่อนไม่พอ เครียดสะสม
    การที่พักผ่อนน้อย จะทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย ซึ่งอาจส่งผลทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือ อาจทำให้เกิดเลือดคั่งบริเวณผิวรอบดวงตา จนส่งผลให้บริเวณผิวหนังรอบดวงตาเกิดอาการคล้ำ หรือมีรอยดำเพิ่มมากยิ่งขึ้น
  • อายุมากขึ้น
    การที่คนเรามีอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้การกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนังเกิดการทำงานได้น้อยลง รวมถึงการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และ การไหลเวียนเลือดลดลง ทำให้ผิวบางลงจึงมองเห็นขอบตาดำได้ชัดขึ้น
  • โครงสร้างกรรมพันธ์
    การสะสมเม็ดสีที่บริเวณใต้ดวงตามากกว่าปกติ หรือ โครงสร้างกระดูกใต้ตายุบตัว หรือเป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น ไทรอยด์
  • โรคภูมิแพ้
    ในขณะที่เกิดอาการแพ้ ร่างกายจะผลิตสารที่ชื่อว่า Histamine ขึ้นมาเพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้เส้นเลือดใต้ตาเกิดการขยายตัวจนทำให้เห็นเป็นรอยดำใต้ตา
  • ถุงใต้ตา
    ผิวหนังหย่อนคล้อยของใต้ตาจากการขี้ตาบ่อย ส่งผลให้ผิวหนังเกิดอาการอับเสบ บวมแดง และทำให้เกิดถุงใต้ตาได้ง่ายมากขึ้น

วิธีแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ มีวิธีใดบ้าง

  • ทำทรีตเมนต์ใต้ตา
    เป็นการทำทรีตเมนต์ที่บริเวณใต้ตาและรอบดวงตา โดยการใช้เครื่องนวดระบบอุ่น ร่วมกับการผลักวิตามินบำรุง เพื่อช่วยลดรอยหมองคล้ำที่บริเวณรอบดวงตา
  • ทาครีมบำรุงใต้ตา
    Eye Cream ถือเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุด แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผลนานที่มีส่วนผสมของ ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว เช่นสำหรับคนที่มีริ้วรอยมากแนะนำให้เลือก Eye ครีมที่เนื้อเข้มข้น และ ผู้ที่มีปัญหาไม่มากแนะนำให้ใล้ Eye Cream เนื้อเซรั่ม ที่ให้ความชุ่มชื้น
  • เลเซอร์ใต้ตา
    การทำเลเซอร์ใต้เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลาเจนบริเวณรอบๆดวงตา เป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดริ้วรอยใต้ตา กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวรอบดวงตา เพิ่มความชุ่มชื้นระดับเซลล์ แต่ไม่สามารถรักษาใต้ตาคล้ำมีมาจากภูมิแพ้ และ กรรมพันธ์ได้
  • ฉีดไขมันใต้ตา
    เป็นการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ใต้ตาได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะเป็นการเติมเต็มด้วยไขมันตัวเอง แต่ไขมันอาจมีการสลายหลังการฉีด ได้เนื่องจากใต้ตาเป็นจุดที่มีผิวบางจึงทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งการฉีดไขมันยังนิยมฉีดในจุดที่มีพื้นที่กว้าง มากกว่าจุดที่ต้องการความละเอียดอย่างบริเวณใต้ตา
  • ศัลยกรรมผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออก
    เป็นการผ่าตัดเอาไขมันใต้ตาที่ปูดนูนออกมา ซึ่งเป็นการแก้ไขความหย่อนคล้อยของผิวหนังเปลือกตาล่างให้มีความยกกระชับขึ้น ซึ่งการผ่าตัดศัลยกรรมถุงใต้ตาจะมี 2 เทคนิคด้วยกันคือ การเปิดแผลด้านนอก (เป็นการผ่าตัดที่บริเวณติดกับขนตา) และ การตกแต่งถุงใต้ตาล่างผ่านทางเยื่อบุหนังตา ซึ่งวิธีนี้แพทย์จะสามารถตัดไขมันจากด้านในเปลือกตาได้
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
    เป็นการฉีดการเติมสาร HA เข้าไปในบริเวณใต้ตาที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตา และ ความหมองคล้ำ เป็นการเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ใต้ตาดำคล้ำ ถุงใต้ตา ฉีดฉีดใต้ตาคล้ำให้กลับมาสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น โดยไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย เนื่องจาก Hyaluronic Acid เป็นสารจากธรรมชาติ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียนแบบคอลลาเจนในร่างกายของมนุษย์

ถุงใต้ตาต่างกับดอลลี่อายอย่างไร

ถุงใต้ตากับดอลลี่อายนั้นความจริงแล้วคือคนละส่วนกัน โดยถุงใต้ตาจะเกิดที่บริเวณขอบตาล่างเป็นถุงไขมันใต้ตาสามารถพบได้ในผู้ที่มีอายุ 30-40 ขึ้นไป ส่วนดอลลี่อายนั้จะเกิดที่ขอบตาล่างในระยะชิดกับขอบดวงตาเลย ถือเป็นมัดกล้ามเนื้อชนิดหนึ่งจะเห็นได้ชัดตอนแสดงสีหน้ายิ้มและหัวเราะ สามารถพบได้ในผู้ที่มีอายุ 10-20 ปีขึ้นไป

ซึ่งการมีถุงใต้ตาจะทำให้ใบหน้าดูโทรม ดูมีอายุมาก ต่างกับการมีดอลลี่อายที่จะให้ใบหน้าดูเด็กลง และมีความอ่อนหวานมากยิ่งขึ้น 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอะไร?

ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาเรื่องอะไรบ้าง

หลายๆ คนอาจทราบมาบ้างแล้ว หลังอายุ 25 ปี คอลลาเจนจะเริ่มลดน้อยลงรวมถึงกระดูกจะยุบตัวลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มใต้ตา จึงไม่ได้เหมาะกับคนไข้ที่มีอายุเท่านั้น แต่เหมาะสำหรับทุกคนที่รู้สึกว่าใต้ตาเริ่มดำคล้ำมีร่องลึกและผิวมีริ้วรอย

ใต้ตาลักษณะไหนที่สามารถฉีดฟิลเลอร์แล้วได้ผลดี

  • ใต้ตาคล้ำ เป็นรอยดำ จากอายุหรือพันธุกรรม จะไม่เหมาะกับคนไข้ที่เป็นรอยคล้ำจากพฤติกรรมเช่น ขยี้ตาแรงๆ เพราะรอยคล้ำจะกลับมาอีกแม้ฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว
  • ใต้ตาลึก โบ๋เป็นร่องลึก จากพันธุกรรมหรือการยุบตัวของกระดูก รวมถึงคอลลาเจน
  • ใต้ตาย่น มีริ้วรอย จากวัยหรือคอลลาเจนในผิวน้อยลง
  • มีถุงใต้ตาหย่อนคล้อย เนื่องด้วยอายุที่มากขึ้น

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นที่นิยม นอกกจากจะทำให้ตาสดใสขึ้นในทันทีแล้ว คือ ทำให้ใต้ตาเรียบเนียนและช่วยเติมเต็มร่องลึก เพื่อให้ใต้ตาของเราดูดีมีราศีและโหงวเฮ้งที่ดีอีกด้วย

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหมอจะมีการพิจารณาตามความเหมาะสมให้กับคนไข้แต่ละคน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆดังนี้

  • เหมาะกับคนที่มีปัญหาใต้ตาลึกที่สาเหตุเกิดจากส่วน Tear through ที่อยู่ใกล้ร่องน้ำตา กับ Hollow Under Eye ตรงเบ้าตา เกิดการยุบตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น
  • เหมาะกับคนที่อายุน้อย แต่มีปัญหาใต้ตาเนื่องจากพันธุกรรม ภูมิแพ้ หรือการเจริญเติบโตของกระดูกช่วงเบ้าตา
  • เหมาะกับคนที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา ขอบตาดำ ตาโหล เบ้าตาลึก มีถุงใต้ตา ที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย
  • เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลทันที และไม่มีเวลาพักฟื้น
  • เหมาะกับคนที่กังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด และ กลัวการเกิดแผลเป็นจากการผ่าตัด

กลุ่มคนไข้ที่ไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

สำหรับผู้ที่หมอยังไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพราะอาจทำให้เกิดความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้แก่กลุ่มคนไข้ดังต่อไปนี้

  • หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงเวลาที่ต้องให้นมบุตร
  • คนที่มีปัญหาเลือดออก เลือดหยุดยาก รวมถึงคนที่มีแผลฟกช้ำง่าย
  • คนที่เป็นโรคผิวหนัง หรือผู้มีปัญหาผิวหนังอักเสบ เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
  • คนที่มีอาการแพ้สารไฮยาลูรอนิค แอซิดู เนื่องจากเสี่ยงต่อการอักเสบ หรือติดเชื้อได้

เป็นภูมิแพ้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้ไหม

ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำจากโรคภูมิแพ้สามารถฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขได้ โดยไม่ส่งผลข้างเคียงต่อโรคภูมิแพ้ที่เป็น ซึ่งการเติมสารเติมเต็มด้วยกลุ่มไฮยาลูรอนิค แอซิค เข้าไปจะช่วยลดการขยายตัวของเส้นเลือดบริเวณใต้ตา ช่วยพยุงผิวที่มีการยุบตัวให้อิ่มฟูขึ้น ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และช่วยเติมน้ำให้กับผิว จึงทำให้อาการขอบตาดำของคนเป็นโรคภูมิแพ้ดูจางลง

เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี แตกต่างกันอย่างไร

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่หมอแนะนำสำหรับฉีดใต้ตา คือ Restylane และ Juvederm เพราะฉีดแล้วคงรูป ไม่เป็นก้อน และดูธรรมชาติที่สุด แต่ละรุ่นจะอยู่ได้นานแตกต่างกัน

  • ฟิลเลอร์ Juvederm
    ในเนื้อฟิลเลอร์จะมีจำนวนพันธะที่มาก ยิ่งมีเยอะก็จะอยู่ได้นานขึ้น สลายช้าลง อุ้มน้ำน้อยลง ทำให้ฉีดแล้วไม่เป็นก้อนมาก เหมาะกับผิวบริเวณที่ขยับบ่อยๆ ซึ่งฟิลเลอร์ Juvederm มีเทคโนโลยี Vycross และ Hylacross ในการผลิตทำให้เนื้อมีความคงตัว มีโมเลกุลยึดเกาะเหนียวแน่นขึ้น ช่วยยกกระชับได้ดีและมีความเป็นธรรมชาติมาก
  • ฟิลเลอร์ Restylane
    มีเทคโนโลยี NASHA techology และ OBT technology ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Restylane โดยจะทำฟิลเลอร์ให้เป็นเม็ดละเอียด (particle) เพื่อให้ได้เนื้อฟิลเลอร์มีค่าความยืดหยุ่นสูง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เน้นในเรื่องของความยืดหยุ่น และสามารถปรับรูปทรงได้หลากหลาย รวมถึงการฉีดใต้ตาเพื่อทำดอลลี่อาย จะแนะนำรุ่นนี้เช่นกัน
  • ฟิลเลอร์ Belotero
    เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรป ตัวเนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถยึดเกาะผิวได้ดี ส่งผลให้เกิดโอกาสไหลเป็นและก้อนได้ต่ำโดยรุ่นที่แนะนำสำหรับฉีดใต้ตาคือ รุ่น Soft

หากคนไข้มีรุ่นหรือยี่ห้อในใจอยู่แล้วสามารถปรึกษาหมอ หรืออ่านรายละเอียดแต่ละยี่ห้อเพิ่มเติม ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี มีรุ่นอะไรบ้าง เลือกยังไงให้ได้ผลและเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ใต้ตา มีผลค้างเคียงอย่างไรบ้าง?

หลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณใต้ตาค่อนข้างบางกว่าบริเวณอื่น เช่น

  • มีรอยแดง บวมช้ำ หลังการฉีด ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ แต่จะหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์
  • มีการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์ไปยังตำแหน่งใกล้เคียงในบริเวณที่ฉีด ในบริเวณที่มีการขยับบ่อยๆ เช่น ริมฝีปาก หน้าผาก ในกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน
  • ใต้ตาดูบวม เป็นก้อน หากใช้ฟิลเลอร์ในบริมาณที่มากเกินไป
  • หากไม่มีความเชี่ยวชาญในการฉีด อาจทำให้ฟิลเลอร์อุดตันหลอดเลือดแดง จนนำเลือดไปเลี้ยงที่จอประสาทตา จนอาจทำให้มีตาบอดได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตา

การฉีดไขมันใต้ตา

เป็นวิธีที่ถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และ วิธีมาวิธีการค่อนข้างยุ่งยาก แพทย์ต้องมีความชำนาญสูงเพราะใต้ตาเป็นบริเวณที่ค่อนข้างบอบบาง และมีเส้นเลือดอยู่มาก หากคำนวนไขมันหรือใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสม หลังฉีดไขมัน ใต้ตาอาจเกิดปัญหาเป็นคลื่น ดูไม่เท่ากันได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ถือเป็นวิธีที่คุ้มค่ามากกว่าเติมไขมัน เนื่องจากฟิลเลอร์มีหลายรุ่น หลายขนาดโมเลกุลให้เลือดตามความเหมาะสมของปัญหา ที่แตกต่างกับของแต่ละคน เพื่อให้คนไข้ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีและดูเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถปั้นให้เรียบเนียนสวยงามมากกว่าการฉีดไขมัน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ cc ถึงเห็นผล?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา โดดยปกติแล้วคุณหมอจะแนะนำให้ฉีด 1-2 cc เท่านั้น (ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล) เพื่อให้ใต้ตาดูสวย ละมุน เป็นธรรมชาติ โดยประมาณที่ใช้คุณหมอจะเป็นผู้ประเมินให้อย่างละเอียด

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม?

เป็นคำถามก่อนฉีดที่หลายคนเกิดความกังวล หมอจะขอตอบให้เข้าใจแบบง่ายๆดังนี้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาด้วย Hyaluronic Acid หรือ HA ถือเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง เพราะ filler แท้ที่ได้มาตรฐานเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ มีคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ช่วยรักษาความชุ่มชื้น สามารถอุ้มน้ำได้ดี แต่จะต้องได้รับการฉีดที่ถูกต้องจากแพทย์ที่มีประสบการณ์

อันตรายที่พบจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์กับหมอและคลินิกที่ไม่มีใบอนุญาต การใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือการใช้เทคนิคที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่างๆ เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน ผิวหนังอักเสบ การติดเชื้อ เนื้อเยื่อผิวตาย ร้ายแรงไปจนถึงขั้นตาบอด

ฟิลเลอร์ใต้ตา มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร?

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเห็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยทีข้อดีและข้อเสียที่ควรทราบก่อนตัดสินใจดังนี้

ข้อดี

  • ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก บริเวณใต้ตาให้ตื้นขึ้น และ กลับมาสดใสเป็นธรรมชาติ
  • ฟินเลอร์ใต้ตาสามารถสลายไปตามธรรมชาติ 100% โดยไม่ตกค้างในร่างกาย
  • ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นใต้ตา และ ช่วยให้ผิวใต้ตาดูเต่งตึงขึ้น
  • ช่วยแก้ไขปัญหาตาโบ๋ ใค้ตาลึก จาการยุบตัวของกระดูกใต้ตา
  • เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีด โดยไม่ต้องพักฟื้น
  • สามารถปั้นแต่งทรงได้ง่ายตามต้องการ มากกว่าการฉีดไขมันใต้ตา

ข้อเสีย

  • ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ถาวร เพราะฟินเลอร์สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติต้องมีการเติมซ้ำทุกๆ 6-12 เดือน เพื่อคงสภาพของผลลัพธ์
  • หากเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน (ฟิลเลอร์ปลอม) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น การอักเสบ ติดเชื้อ ฟิลเลอร์ไหล เป็นต้น
  • เนื่องจากบริเวณใต้ตามีเส้นเลือดอยู่จำนวนมากหากได้รับการฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือไม่มีประสบการณ์อาจทำให้เกิดความเสี่ยงถึงขั้นตาบอดได้

ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เกิดจากสาเหตุอะไร?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน บวม ดูไม่เป็นธรรมชาติ เกิดได้จาก 4 สาเหตุหลักดังนี้

  1. ตำแหน่งที่ฉีดไม่ตรงกับมีปัญหา เช่น ฉีดฟิลเลอร์ลดริ้วรอยลึกเกินไป หรือ ฉีดเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ในตำแหน่งที่ตื้นเกินไป
  2. ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากเกินไป เนื่องจากแพทย์ขาดประสบการจึงทำให้มีการคำนวนฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม
  3. ใช้ชนิดของฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่จะฉีด เนื่องจากฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีเนื้อสัมผัสและขนาดของโมเลกุลที่ต่างกัน ดังนั้นหากใช้ฟิลเลอร์ที่ใช้ฟิลเลอร์ที่มีความแข็งและเหนียวก็อาจจะทำให้ใต้ตาดูเป็นก้อนได้
  4. ฟิลเลอร์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่าน (อย.) ที่หลายคนเรียกว่า “ซิลิโคนเหลว” ที่ไม่สามารถสลายได้เมื่อเวลาผ่านไปจะจับตัวกันเป็นก้อน ไหลย้อยทำให้ไม่เป็นทรง

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน?

ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน

โดยส่วนใหญ่แล้วฟินเลอร์ที่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่จะสามารถคงตัวอยู่ได้นาน 6-18 เดือน และ บางรุ่นอยู่ได้นานถึง 24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้และการดูแลตัวเองหลังการฉีด

ฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล? เห็นผลทันทีเลยไหม?

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล

หลังการฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที โดยหลังฉีดอาจมีรอยแดงจากเข็ม ซึ่งจะหายไปเองใน 2-3 วัน และ อาจจะอาการบวมหลังฉีด 7-14 วัน จากนั้นฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาบวมกี่วัน?

หลังการฉีดฟิลเลอร์อาจมีอาการบวมเข็ม 2-3 วัน ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปได้เอง และ ยุบบวมเห็นผลลัพธ์เต็มที่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่ในบางรายก็อาจจะไม่มีอาการบวมเลย

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม ต้องแปะยาชาหรือไม่?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือเป็นความเจ็บที่สามารถทนได้ เนื่องจากก่อนการเติมฟิลเลอร์จะมีการใช้ยาชาทั้งแบบทาและแบบฉีด เพื่อเข้าไปบล็อกเส้นประสาท เพื่อลดความเจ็บ และ ในฟิลเลอร์บางชนิดยังมียาชาผสมอยู่อีกด้วย จึงทำให้ในขณะฉีดและหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เจ็บมาก

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเสี่ยงทำให้ตาบอดไหม?

เนื่องจากบริเวณใต้ตาเป็นจุดที่มีเส้นเลือดอยู่มาก ดังนั้นหาก Filler เข้าไปอุดตันเส้นเลือดทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงที่จอประสาทตาได้ ก็อาจจะทำให้ตาบอดได้ แต่กรณีนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก และ มักเกิดขึ้นใน ก็รณีที่แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ (ฉีดกับหมอกระเป๋า) หรือ ใช้ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน ที่ไม่สามารถฉีดสลายได้

หยุดฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วใต้ตาจะกลับมาคล้ำได้อีกไหม?

สามารถกลับมาคล้ำอีกได้เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปเนื้อฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายตัวไปได้เองในร่างกายมนุษย์ส่งผลให้ปัญหาใต้ตาคล้ำสามารถกลับมาได้อีก นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตด้วย เช่นหากมีการนอนดึกบ่อยๆ หรือทำทรีตเมนต์ที่ใช้ความร้อนบริเวณใต้ตาบ่อยๆ อาจทำให้เนื้อฟิลเลอร์สลายตัวได้ไวและทำให้ปัญหาใต้ตาคล้ำกลับมาได้ไวด้วยเช่นกัน

การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ไม่อันตราย จึงไม่มีขั้นตอนการเตรียมตัวและการดูแลตัวเอง ที่ไม่ซับซ้อน ดังนี้

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • แจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้งหากมีโรคประจำตัวหรือทานยาเป็นประจำ
  • งดการทายา และ วิตามินบางชนิด เช่น แอสไพริน, ginko biloba ,NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, primrose oil, Vitamin E และ garlicginseng
  • งดการทำเลเซอร์ หรือ นวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีดเลเซอร์
  • งดการใช้ยาที่มีผลต่อการผลัดเซลล์ผิวใต้ตา
  • แพทย์อาจมีการพิจารณาให้ฉีดยาลดบวมหรือทานยาห้ามเลือดในบางเคส เพื่อป้องกันการบวมช้ำ และ การอักเสบติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  1. หลีกเลี่ยงการกดนวดในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการอาการบวมช้ำได้ ซึ่งปกติแล้วรอยช้ำต่างๆจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 วัน (หาก3 วันไปแล้ว อาการบวมช้ำยังไม่ดีขึ้นแนะนำให้รีบไปพบแพทย์)
  2. ทานยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด ลดบวม ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
  3. หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด รวมถึงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมากๆ จนหน้าแดง เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดดอย่างน้อย 48 ชม.
  4. งดการปั้นฟิลเลอร์ด้วยตัวเองเพราะอาจทำให้ เกิดการอักเสบและการบวมช้ำมากกว่าเดิมอีกทั้งยังอาจทำให้ฟิลเลอร์ผิดรูปทรงได้อีกด้วย
  5. งดทำเลเซอร์ที่ใช้ความร้อนกับผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
  6. งดทานอาหารที่มีผลต่อการอักเสบ บวมและทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด งดสูบบุหรี่ งดอาหารหมักดอง และงดหมูกระทะ ชาบู ที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี

ปัจจุบันคลินิกความงามมีมากมาย และเกือบทุกคลินิกจะมีบริการฉีดฟิลเลอร์ด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ว่าแพทย์ทุกคนจะฉีดฟิลเลอร์ได้ดี เพราะฟิลเลอร์คืองานศิลปะแบบหนึ่ง แพทย์จะต้องได้รับการฝึกฝนและมีความรู้ในการฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หลักการพิจารณาเลือกคลินิกความงามมีดังนี้

  • คลินิกต้องได้มาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข
  • มีชื่อแพทย์ชัดเจน รวมถึงมีเลขใบประกอบชัดเจนตรวจสอบได้
  • ตำแหน่งที่ตั้งคลินิกชัดเจน นัดหมายเข้าพบแพทย์ได้ทันที
  • มีการนัดติดตามผลหลังการฉีดทุกครั้ง
  • มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงจากแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง
  • มียี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ให้เลือกหลากหลายเพราะฟิลเลอร์แต่ละรุ่นมีคุณสมบัติแตกต่างกันทำให้เหมาะกับการฉีดแต่ละส่วนต่างกันด้วย

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา เท่าไหร่ ต่อ CC.

  • Restylane lidocaine (Sweden) เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาเริ่มต้น 1cc = 8,623.- (12เดือน)
  • Restylane Perlane (Sweden) เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาเริ่มต้น 1cc = 8,623.- (18เดือน)
  • Juvederm Voluma (Allergan) เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาเริ่มต้น 1cc = 10,693.- (18เดือน)
  • Belotero รุ่น Soft เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาเริ่มต้น 1cc = 7,896 .- (12เดือน)

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว ก่อน-หลังทำ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ใต้ตาลึก-คล้ำ
ฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ไขใต้ตาลึก – คล้ำ
ฉีดฟิลเลอร์ แก้ถุงใต้ตา
ฉีดฟิลเลอร์แก้ถุงใต้ตาในผู้ชาย

สรุป

ใต้ตาเป็นบริเวณที่ค่อนข้างบอบบาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้คุณหมอพิจารณาและประเมินอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจก่อนฉีด เพื่อให้เลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมและฉีดในปริมาณที่พอดีกับคนไข้ นอกจากนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับหมอกระเป๋า เนื่องจากไม่มีความรู้ด้านกายวิภาค ทำให้ไม่สามารถรู้ตำแหน่งที่ถูกต้องในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง