รู้จักโปรแกรม Juvelook ตัวช่วยยกกระชับผิว เก็บร่องริ้วรอย ร่องลึก
ในยุคที่ความสวยงามได้ก้าวพัฒนาไปอย่างไกล ทำให้ได้มีการคิดค้นวิธีการดูแลผิวออกมากมายที่นอกเหนือจากการทาครีมบำรุงผิวและอีกหนึ่งหัตถการดูแลผิวมาแรงในตอนนี้นั้นก็คือ Juvelook หัตถการที่เข้ามาช่วยเรื่องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเต่งตึง กระชับขึ้น และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนสาเหตุต่าง ๆ ของการเกิดปัญหาผิวได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในบทความนี้เราเลยจะมาเจาะลึกถึงการทำ Juvelook กันว่าคืออะไร มีข้อดีอย่างไร และเหมาะกับใครบ้าง
โปรแกรม Juvelook คืออะไร
โปรแกรม Juvelook (จูวีลุค) คือโปรแกรมงานผิวประเภทคอลลาเจนบูสเตอร์ (Collagen Booster) ในรูปแบบหนึ่งหรือที่หลาย ๆ คลินิกในไทยใช้ชื่อเรียกว่า “โปรแกรมไหมน้ำ” ที่มีการผสมผสาน 2 ตัวช่วยในการดูแลผิวอย่าง Hyaluronic Acid (ในรูปแบบ Noncrosslinked) และ PDLLA (Poly D, L-lactic acid) ที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวให้เพิ่มขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้
เจาะลึกส่วนประกอบสำคัญของ Juvelook
- Hyaluronic Acid 7.5 mg เป็นสารสำคัญที่ช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นผิว ทำให้โครงสร้างของผิวมีความยืดหยุ่น สุขภาพดี
- PDLLA (Poly D, L-lactic acid) 42.5 mg คือไบโอพอลิเมอร์ชีวภาพที่มาในรูปแบบวงกลมคล้ายกับฟองสบู่ ซึ่งมีเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวโดยสารตัวนี้นอกจากจะพบในกลุ่มโปรแกรมคอลลาเจนบูสเตอร์แล้วยังสามารถพบได้ในหัตถการร้อยไหมได้ด้วยเช่นกัน
หลักการทำงานของ Juvelook
ในส่วนของหลักการทำงานทำงานของ Juvelook นั้นมี 3 สเต็ปหลัก ๆ ดังนี้
- Step 1 Physical support : ในสเต็ปนี้ตัวสาร HA (Hyaluronic Acid) จะเข้าไปช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวทำให้ผิวมีความอิ่มฟู และช่วยทำให้ริ้วรอยเล็ก ๆ จางลงได้
- Step 2 Restoration : สเต็ปนี้จะเริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่ฉีดไปแล้วประมาณ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นช่วงที่สาร PDLLA จะเริ่มทำงานในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวให้เพิ่มมากขึ้นทำให้โครงสร้างของชั้นผิวค่อย ๆ แน่นและยืดหยุ่นมากขึ้น
- Step 3 Maintenance : สเต็ปนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ฉีดไปแล้วประมาณ 6 เดือน ซึ่งในช่วงนี้คอลลาเจนในชั้นผิวจะมีมากขึ้น ทำให้ผิวมีความอิ่มฟู ริ้วรอยต่าง ๆ ดูจางลง และผิวจะมีความกระชับ ดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทำโปรแกรม Juvelook ดีไหม
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าโปรแกรม Juvelook นั้นจะช่วยได้แค่เรื่องการปรับผิวให้มีความชุ่มชื้นเท่านั้นแต่ในความเป็นจริงแล้วยังสามารถช่วยเรื่องปัญหาผิวได้อีกหลายประการ ดังนี้
- ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยเสริมให้โครงสร้างของผิวมีความสุขภาพดี และมีความยืดหยุ่น
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ทำให้ริ้วรอยมีความจางลง ร่องลึกต่าง ๆ มีความตื้นขึ้น
- ช่วยแก้เรื่องปัญหารูขุมขน ทำให้รูขุมขนมีความกระชับ
- ช่วยเติมหลุมสิว ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นเล็กน้อย
- ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสติน เพื่อให้โครงสร้างของผิวนั้นมีความแน่นขึ้น ทำให้ผิวมีความกระชับ อ่อนเยาว์ขึ้น
Juvelook เหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่เรียบเนียน มีรูขุมขนกว้าง
- ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก
- ผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวสูญเสียคอลลาเจน
- ผู้ที่มีปัญหามีรอยแตกลายตามจุดต่าง ๆ
Juvelook ผ่านอย. หรือไม่
สำหรับเรื่องความปลอดภัยนั้นก็ต้องบอกเลยว่า โปรแกรม Juvelook นั้นได้ผ่านการรับรองความปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากทั้งอย.ของประเทศไทยและอย.ของประเทศเกาหลี จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็ควรจะฉีดกับตัวยา Juvelook ของแท้และฉีดโดยหมอที่มีประสบการณ์เท่านั้น
Juvelook ใช้วิธีการฉีดยังไง
วิธีการฉีดโปรแกรม Juvelook นั้นหมอจะใช้วิธีการฉีดด้วยเข็มขนาดเล็กฉีดส่งตัวยาเข้าไปในชั้นผิวตามจุดต่าง ๆ ที่มีปัญหาซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการฉีดประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละบริเวณว่ามีความยากง่ายในขั้นตอนการฉีดมากแค่ไหน
การเห็นผลลัพธ์หลังฉีด Juvelook
ในเรื่องของการเห็นผลลัพธ์นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 พาร์ทหลัก ๆ ก็คือ การเห็นผลหลังฉีดแบบทันที โดยจะสามารถสังเกตได้เลยว่าผิวมีความเติมเต็ม อิ่มเอิบขึ้นในบางจุด หลังจากนั้นจะเริ่มเข้าสู่พาร์ทที่ 2 หลังฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์ผิวจะมีความชุ่มชื้นขึ้น ผิวดูเอิบอิ่ม เปล่งปลั่งขึ้น และพาร์ทสุดท้ายคือผิวจะมีความกระชับขึ้น ผิวแน่นขึ้น เต่งตึงขึ้น ผิวมีความกระจ่างใสสุขภาพดีซึ่งผลลัพธ์ส่วนนี้จะเริ่มเห็นผลหลังฉีดไปแล้วประมาณ 6 สัปดาห์
Juvelook ต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล
สำหรับจำนวนครั้งในการฉีดโปรแกรม Juvelook นั้นโดยส่วนใหญ่หมอจะแนะนำว่าให้ฉีดอย่างต่อเนื่องประมาณ 2-3 ครั้งภายในระยะเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นให้ฉีดเพื่อคงสภาพผิวในทุกๆ 6-12 ซึ่งหากฉีดตามโปรแกรมที่หมอแนะนำมานี้จะทำให้สามารถเห็นผลได้ยาวนานถึง 2 ปี และเมื่อครบ 2 ปีแล้วก็แนะนำให้กลับมาฉีดอีก 1 ครั้งเพื่อยืดระยะเวลาการเห็นผลให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคนไข้แต่ละคนว่ามีปัญหามากน้อยแค่ไหน ซึ่งหมอจะเป็นผู้ทำการประเมินและแนะนำจำนวนครั้งที่ต้องฉีดให้ โดยในคนไข้แต่ละคนอาจจะต้องฉีดในจำนวนครั้งที่มากน้อยแตกต่างกันไป เช่น หากมีปัญหาน้อยหมอก็อาจจะลดจำนวนครั้งในการฉีดให้ลดลงจาก 2-3 ครั้งใน 1 เป็น 1-2 ครั้งก็ได้เช่นกัน
Juvelook ใช้ฉีดบริเวณไหนบ้าง
- ใต้ตา เปลือกตาและรอบดวงตา
- หน้าผาก
- ทั่วใบหน้า
- ลำคอ
- ข้อศอก
- ข้อพับ
- หัวเข่า
- รอยแตกที่ก้น
- รอยแตกที่หน้าท้อง
Juvelook มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
เรื่องของผลข้างเคียงหลังฉีดนั้นก็ต้องบอกว่า อาจจะมีเรื่องของการเกิดรอยนูน รอยแดง มีอาการบวม มีอาการช้ำ เกิดขึ้นได้ในจุดที่ฉีด ซึ่งเป็นผลมาจากรอยเข็มไม่ได้มีความอันตรายและรุนแรงแต่อย่างใด และอาการดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 2-3 วันเท่านั้น
การเตรียมตัวก่อนฉีด Juvelook
- งดการขัด สครับผิวก่อนทำอย่างน้อย 2-3 วันเพื่อป้องกันการอักเสบของผิว
- งดการทานวิตามิน ยา หรืออาหารเสริมกลุ่มที่ส่งผลต่อการแข็งตัวก่อนเลือดเช่น วิตามินอี น้ำมันปลา แปะก๊วย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดการทำกิจกรรมการกลาง หรือการให้ผิวโดนแสงแดดจัด ๆ จนอาจทำให้เกิดปัญหาผิวไหม้ก่อนทำอย่างน้อย 2-3 วัน
การดูแลตัวเองหลังฉีด Juvelook
- หลังฉีดควรงดกด นวด คลึงผิวในจุดที่ฉีดเพื่อไม่ให้เกิดการอักเสบ
- ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีดประมาณ 1-2 วันเพื่อป้องกันการอักเสบหรือการบวมหลังฉีด
- ควรงดออกกำลังกายอย่างหนัก รวมถึงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือกิจกรรมที่ทำให้ผิวสัมผัสกับความร้อนอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- ควรทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นประจำเช้า-เย็น
- ควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด แสงไฟที่จะมาทำร้ายเซลล์ผิวให้เกิดการเสื่อมโทรม
- ควรงดการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์หรือเครื่องยกกระชับผิวอย่างน้อย 1 เดือนหลังทำ
Juvelook ราคาเท่าไหร่
ในพาร์ทของราคาโปรโมชั่นนั้นก็จะมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีเรทราคาอยู่ที่ประมาณ 15,000-25,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่โปรโมชั่นของแต่ละคลินิก ซึ่งหากคนไข้เจอราคาโปรโมชั่นที่ถูกมาก ๆ ก็อาจสันนิษฐานว่าอาจเป็นตัวยาของปลอมที่ไม่ได้มาตรฐานซึ่งไม่ควรฉีดอย่างยิ่งเนื่องจากอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
Juvelook ต่างกับ Sculptra ยังไง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทั้งโปรแกรม Juvelook และโปรแกรม Sculptra นั้นถือเป็นหัตถการกลุ่มคอลลาเจนบูสเตอร์ทั้งคู่ ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวให้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีส่วนแตกต่างกันคือตัวสารประกอบในตัวยา
- โปรแกรม Juvelook ใช้สาร PDLLA ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เน้นช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย รอยแตกลาย
- โปรแกรม Sculptra ใช้สาร PLLA ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่า เน้นช่วยเรื่องของการยกกระชับผิว ปรับผิวหน้าให้แน่นขึ้น ทำให้ผิวมีความอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
Juvelook ต่างกับ Rejuran อย่างไร
ความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 โปรแกรม มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในเรื่องของส่วนผสมในยาและการเน้นในเรื่องแก้ปัญหา ดังนี้
- Juvelook ส่วนประกอบ Polynucleotide (PA) เน้นช่วยผิวกระจ่างใส ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ปรับผิวให้เรียบเนียน แก้รูขุมขนกว้าง แก้หลุมสิว
- Rejuran ส่วนประกอบ PDLLA เน้นช่วยผิวให้กระชับ ลดริ้วรอย ปรับรูขุมขนให้กระชับขึ้น ช่วยลดปัญหารอยแตกลาย
Juvelook สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม
โปรแกรม Juvelook นั้นถือเป็นโปรแกรมที่สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ทุกประเภททั้งการฉีดผิวในรูปแบบต่าง ๆ การเลเซอร์ผิว หรือการใช้เครื่องยกกระชับผิว แต่ทั้งนี้ก็ควรจะมีการเว้นระยะห่างในการทำแต่ละหัตถการนั้น ๆ ด้วย ซึ่งแนะนำว่าควรที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำทุกครั้งเนื่องจากแต่ละหัตถการจะต้องเว้นระยะห่างที่แตกต่างกันออกไป
สรุป
โปรแกรม Juvelook ถือเป็นโปรแกรมตัวช่วยงานผิวประเภทกลุ่มคอลลาเจนบูสเตอร์ ที่มีส่วนประกอบของสาร PDLLA ซึ่งเป็นสารที่สามารถพบได้ในหัตถการร้อยไหมด้วยอีกเช่นกัน จึงทำให้มีจุดเด่นในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวให้เพิ่มมากขึ้นทำให้ผิวมีความเต่งตึงขึ้น ช่วยลดริ้วรอยได้คล้ายคลึงการร้อยไหม แต่จะใช้วิธีการรักษาด้วยการฉีดตัวยาแทน
ซึ่งถือเป็นหัตถการที่เหมาะกับคนที่ต้องการปรับผิวให้มีความกระชับ เรียบเนียนขึ้นและต้องการบำรุงผิวให้มีความเปล่งปลั่งสุขภาพดีจากภายในนั้นเอง
สำหรับใครที่สนใจอยากสอบถามรายละเอียดหัตถการเกี่ยวกับวิธีการยกกระชับผิวเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line : @gangnamclinic หรือได้ที่กังนัมคลินิกทุกสาขา