รู้จักskinvive คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง? ช่วยเรื่องอะไร

ถ้าหากจะให้พูดถึงโปรแกรมงานผิวตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับผิวให้มีความฉ่ำวาวขึ้นก็ต้องยกให้โปรแกรม Skinvive อย่างแน่นอน ดังนั้นในบทความนี้เราเลยจะพาไปรู้จักกับโปรแกรม Skinvive ว่าคืออะไร ช่วยเรื่องอะไร และเหมาะกับใครบ้าง?

ทำความรู้จัก Skinvive คืออะไร

Skinvive อ่านว่า “สกินวิฟฟ์” จัดเป็นหนึ่งในยี่ห้อฟิลเลอร์ Skin Booster หรือฟิลเลอร์งานผิวตัวหนึ่งที่กำลังมาแรงอย่างมาก เนื่องจากมีจุดเด่นในเรื่องของการช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งเสียให้กลับมาชุ่มชื้น ฉ่ำวาวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งตัว Skinvive นี้ในความจริงแล้วได้มีการพัฒนาต่อยอดมาจากฟิลเลอร์ผิวตัวดังอย่าง Juvederm อย่างรุ่น Volite ที่ถูกแบบมาใช้ในการช่วยแก้ปัญหาผิวโดยเฉพาะนั่นเอง

ส่วนประกอบสำคัญของ Skinvive

ตัว Skinvive นั้นประกอบไปส่วนประกอบสำคัญอย่างไฮยาลูรอนิค เอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่มาในรูปแบบของไมโครดรอปเล็ต (Microdroplets of Hyaluronic Acid) ตัวแรกและตัวเดียวที่ได้รับการรับรองความอย. อเมริกา (US FDA) ในตอนนี้ ซึ่งเป็นตัวสาร HA ที่มีระดับความเข้มข้นสูงกว่า HA ทั่วไป มีขนาดโมเลกุลที่เล็กจึงทำให้สามารถกระจายตัวได้ดีในชั้นผิวนั่นเอง

หลักการทำงานในชั้นผิวของ Skinvive

เนื่องด้วยตัวส่วนประกอบหลักนั้นก็คือ ไฮยาลูรอนิค เอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) สารตัวสำคัญที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ชั้นผิว จึงทำให้เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะเข้าไปทำหน้าที่ในการช่วยเสริมการทำงานของโปรตีน AQP3 หรือ Aquaporin-3 ที่มีหน้าหลัก ๆ ในการส่งผ่านน้ำเข้าสู่เซลล์ผิวให้ทั่วทั้งใบหน้า และยังไปเสริมการทำงานของ กลีเซอรอล (Glycerol) ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น ผิวจึงดูโกลว์ฉ่ำเล่นแสงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

Skinvive ช่วยเรื่องอะไร

ช่วยเติมน้ำให้ผิว แก้ปัญหาผิวแห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้น ยืดหยุ่นขึ้น
ช่วยปรับผิวให้มีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ ตามจุดต่าง ๆ ของใบหน้า
ช่วยแก้ปัญหาผิวมัน ปรับรูขุมขนให้มีความกระชับขึ้น
ช่วยปรับผิวให้ฉ่ำโกลว์ ผิวฉ่ำวาว ให้ผิวเล่นแสงสวยอย่างสุขภาพดี

Skinvive ต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ทั่วไปอย่างไร

การฉีด Skinvive และการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปนั้นจะมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งความเหมือนก็คือทั้ง 2 หัตถการล้วนมีส่วนประกอบหลักอย่าง ไฮยาลูรอนิค เอซิค (HA) แต่ทว่าก็มีความแตกต่างกันดังนี้

การฉีด Skinvive : ตัวสาร HA จะมีความละเอียดที่สูง จึงเด่นในเรื่องของการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปรับโครงสร้างผิวให้ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ว่าจะไม่สามารถช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าได้
การฉีดฟิลเลอร์ : ตัวสาร HA จะมีหลายขนาดโมเลกุลทำให้มีทั้งแบบเนื้อเหลว แข็งปานกลาง และเนื้อแข็งจึงเด่นในเรื่องของการช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้า เช่น เสริมความยาวคาง เติมขมับเป็นต้น
(อ่านบทความเกี่ยวกับฟิลเลอร์ ที่ละเอียดมากขึ้น:ฉีดฟิลเลอร์ แต่ละจุดช่วยเรื่องอะไร ครบทุกเรื่อง ที่ควรรู้ก่อนฉีดครั้งแรก 2024)

Skinvive เหมาะกับใครบ้าง

ผู้ที่ประสบปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ และต้องการเสริมความชุ่มชื้นให้ผิว
ผู้ต้องการปรับแก้รูขุมขนกว้าง ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น
ผู้ที่ต้องการปรับผิวให้มีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่ต้องการเติมเต็มหลุมสิว
ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างผิวให้มีความยืดหยุ่นสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่มีปัญหาการแต่งหน้าไม่ติด อันเนื่องมาจากการมีสภาพผิวที่แห้งกร้าน

ตำแหน่งที่นิยมฉีด

การฉีด Skinvive นั้นสามารถฉีดได้หลายจุด หลายตำแหน่งด้วยกัน ดังนี้

ฉีดทั่วใบหน้า
บริเวณหน้าผาก
บริเวณใต้ตา
บริเวณหน้าแก้ม
บริเวณรอบริมฝีปาก
บริเวณลำคอ
บริเวณเนินอก
บริเวณหลังมือ

ฉีด Skinvive อันตรายหรือไม่

ในเรื่องของความปลอดภัยนั้นสามารถวางใจได้เลย เพราะว่าตัว Skinvive ได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากอย. อเมริกาและอย. ไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งนี้ก่อนฉีดก็ควรทำการตรวจสอบก่อนว่าตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นของแท้หรือไม่
ซึ่งผลิตภัณฑ์ของแท้จะต้องเป็นการสั่งซื้อผ่านบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการอย่างบริษัท อัลเลอแกน (ประเทศไทย) โทรสามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้หรือสอบถามข้อมูลกับทางบริษัทได้ทางเว็บไซต์หรือโทร 02-640-4999 ต่อ 1

ข้อควรระวังก่อนฉีด

สำหรับการฉีด Skinvive นั้นก็มีข้อควรระวังหลัก ๆ อยู่นั้นก็คือไม่ควรฉีดในกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้

ผู้ที่มีประวัติการแพ้สารไฮยาลูรอนิค เอซิด
สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
ผู้ที่มีปัญหาเลือดแข็งตัวยาก หรือมีการทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดเป็นต้น
ผู้ที่มีปัญหาสิวแบบรุนแรง หรือมีรอยแผลในจุดที่จะทำ เพราะจะไปกระตุ้นการอักเสบของผิวได้มากยิ่งขึ้น

การเตรียมตัวก่อนฉีด

งดการขัดหรือสครับผิวให้จุดที่จะฉีดก่อน 2-3 วันเพื่อป้องกันการระคายเคือง
งดทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดปัญหาผิวไหม้ก่อนอย่างน้อย 2-3 วัน
งดทานวิตามินหรืออาหารเสริมกลุ่มที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ก่อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์
งดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
หากมีการทานยารักษาโรคควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนทำ

การดูแลตัวเองหลังฉีด

งดการบีบ นวดหรือกดผิวแรงในจุดที่ฉีดในช่วง 2-3 วันแรงเพื่อป้องกันการอักเสบและการเคลื่อนที่ของเนื้อฟิลเลอร์
งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่หลังทำเพราะจะช่วยกระตุ้นอาการบวมและยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสาร HA ลดน้อยลง
ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน อย่างน้อย 1.5-2 ลิตรเพื่อเสริมการทำงานของสาร HA ในตัวฟิลเลอร์ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
เลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวเป็นประจำทุกวัน
งดการออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะจะไปกระตุ้นการอักเสบทำให้เกิดอาการบวมหลังฉีดได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
งดทำหัตถการที่ต้องใช้ความร้อน เช่น เลเซอร์ผิวหรือเครื่องยกกระชับผิวเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนหลังทำ
หลังทำควรมีการดูแลผิวด้วยการทาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นประจำทุกเช้า-เย็น เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น

ราคาค่าฉีด Skinvive เท่าไหร่

สำหรับราคาค่าใช้จ่ายในการฉีด Skinvive แต่ละครั้งนั้นจะอยู่ที่ประมาณซีซีละ 15,000 บาท ทั้งนี้ก็ข้ออยู่กับราคาโปรโมชั่นของแต่ละคลินิกที่เข้ารับบริการอีกด้วย ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำควรเข้าปรึกษาแพทย์ผู้มากประสบการณ์ก่อนทุกครั้ง

เลือกฉีดที่ไหนดี

เลือกฉีดกับคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีการเปิดให้บริการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหัตถการสูง
เลือกฉีดกับคลินิกที่มีการใช้ตัว Skinvive ของแท้ มีการสั่งซื้อจากทางบริษัทอัลเลอแกน (ประเทศไทย) เท่านั้น
เลือกฉีดกับคลินิกที่มีที่ตั้ง ที่อยู่คลินิกอย่างชัดเจนและมีหมอประจำคลินิก ไม่ควรฉีดกับหมอกระเป๋าหรือหมอที่ฉีดตามบ้านอย่างเด็ดขาด
เลือกฉีดกับคลินิกที่มีรีวิวจากลูกค้าจริงที่น่าเชื่อถือ

เปรียบเทียบ Skinvive vs Belotero Revive

ทั้ง Skinvive และ Belotero Revive จัดเป็นฟิลเลอร์งานผิวแบบ Skin Booster เหมือนกันทั้งคู่ จึงให้จุดเด่นเรื่องของการช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวและปรับผิวให้เรียบเนียนได้เหมือนกัน แต่ทั้ง 2 ก็จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยคือ

Skinvive จะมีส่วนประกอบหลักคือ ไฮยาลูรอนิค เอซิค (HA)
Belotero Revive จะมีส่วนประกอบหลักคือ ไฮยาลูรอนิค เอซิค (HA) และ กลีเซอรอล (Glycerol)
ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ให้ผลลัพธ์ในการฟื้นฟูผิว เติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีเหมือนกันทั้งคู่ และเห็นผลได้ยาวนาน 9 เดือนเหมือนกัน ดังนั้นหากใครที่ลังเลว่าจะฉีดตัวไหนดี แนะนำให้ลองฉีดทั้ง 2 ตัวทีละตัวเพื่อเช็คว่าสภาพผิวของเราตอบสนองกับตัวไหนมากกว่ากัน

Skinvive vs Juvederm Volite

ทั้ง 2 ตัวนั้นถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทผู้ผลิตเดียวกัน แต่ตัว Skinvive จะมีความพิเศษกว่าคือได้มีการคิดค้นและพัฒนาต่อยอดมาจากตัว Juvederm Volite ทำให้มีเนื้อฟิลเลอร์ที่ละเอียดมากกว่า ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ดีกว่า ดังนั้นหากต้องการเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแนะนำให้เลือกฉีดตัว Skinvive จึงจะตอบโจทย์ความต้องการมากกว่า

สามารถฉีด Skinvive ร่วมกับการทำหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม

การฉีด Skinvive นั้นเด่นในเรื่องของการช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ดังนั้นจึงสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวด้านต่าง ๆ ได้ตามปกติแต่ทั้งนี้บางหัตถการอาจจะต้องมีการเว้นระยะเวลาในการทำดังนี้

ฉีด Skinvive ร่วมกับฟิลเลอร์ : จะช่วยทั้งในเรื่องของการปรับโครงสร้างของใบหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์ผิวได้ดี
ฉีด Skinvive ร่วมกับโบท็อกซ์ : การฉีดร่วมกันจะช่วยทั้งการเพิ่มความชุ่มชื้นและการยกกระชับผิว
ฉีด Skinvive ร่วมกับฉีดโปรแกรมไหมน้ำ : ตัวไหมน้ำจะเด่นเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวให้มากขึ้น ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้นเมื่อทำร่วมกับ Skinvive ก็จะช่วยเพิ่มให้ผิวมีความชุ่มชื้น สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
ฉีด Skinvive ร่วมกับเลเซอร์ผิว : ไม่ว่าจะเลเซอร์รอย หรือเลเซอร์ยกกระชับผิวก็สามารถทำร่วมกับ Skinvive ได้ แต่แนะนำให้เลือกทำเลเซอร์ก่อนและค่อยฉีด Skinvive ทีหลังเพราะความร้อนของเครื่องเลเซอร์จะไปทำลายเนื้อฟิลเลอร์ใน Skinvive ให้สลายไปนั่นเอง หรือจะฉีด Skinvive ก่อน 1 เดือนแล้วค่อยไปเลเซอร์ก็ได้เช่นกัน

คำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Skinvive

ควรฉีดครั้งละกี่ซีซี

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าตัวปริมาณ Skinvive 1 กล่องนั้นจะมีปริมาณทั้งหมด 2 ซีซี โดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้เริ่มฉีดครั้งละ 2 ซีซีขึ้นไปแต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวค่อนข้างมากอาจจะต้องประเมินกับแพทย์ผู้ฉีดว่าควรจะต้องปริมาณตัวยาเท่าไหร่จึงจะเพียงพอและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

สำหรับการฉีด Skinvive นั้นจะมีข้อดีคือสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งฉีดที่ฉีด และเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีหลังทำอีกด้วย และก็จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนครบ 2 สัปดาห์จึงเป็นช่วงที่เห็นผลลัพธ์หลังทำอย่างชัดเจน 100% นั่นเอง

ในการฉีดแต่ละครั้งจะอยู่ได้นานแค่ไหน

เรื่องของระยะเวลาการเห็นผลลัพธ์จะอยู่ที่ประมาณ 9 เดือน และจะเห็นผลเรื่องการช่วยลดความมันส่วนเกินของผิวได้ประมาณ 3 เดือน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำของคนไข้แต่ละคนด้วย หากมีการดูแลผิวที่ดี มีการทาครีมกลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอยู่เสมอก็จะช่วยยืดอายุการเห็นผลให้ยาวนานมากขึ้นได้

ในระหว่างฉีดจะรู้สึกเจ็บไหม

เนื่องจากการฉีด Skinvive นั้นจะมีการเลือกใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษจึงทำให้ระหว่างทำอาจรู้สึกถึงความเจ็บได้เล็กน้อย แต่ทว่าก่อนฉีดคนไข้สามารถขอแปะยาชาหรือการประคบเย็นเพื่อให้ผิวชาก่อนเริ่มฉีดได้ทุกครั้ง

หลังฉีดจะมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

หลังฉีดในช่วง 2-4 ชั่วโมงแรงอาจจะมีตุ่มเล็ก ๆ เกิดขึ้นรวมกับรอยแดงจากรอยเข็ม ซึ่งถือเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ปกติและจะสามารถหายไปได้เองภายใน 3-5 วัน
แต่หากมีอาการบวมที่หนักร่วมกับมีอาการปวดในจุดที่ฉีดแนะนำให้รีบพบแพทย์เนื่องจากอาจเกิดมาจากการแพ้สารไฮยาลูรอนิคนั่นเอง

สรุปควรฉีด Skinvive ดีไหม

โปรแกรม Skinvive ถือเป็นโปรแกรมฟิลเลอร์ Skin Booster หรือฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้อดังที่มีจุดเด่นในเรื่องของการเพิ่มความชุ่มชื้น ความฉ่ำโกลว์ให้แก่ผิว ด้วยการมีขนาดโมเลกุลของสารไฮยาลูรอนิค เอซิดที่มีขนาดเล็กมาก ๆ จึงทำให้ตัวยาสามารถกระจายตัวและเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะอย่างมากกับผู้ที่ต้องการเสริมความชุ่มชื้น ความเรียบเนียนให้แก่ผิวนั่นเอง สำหรับลูกค้าท่านใจที่สนใจอยากสอบถามข้อมูลบริการหรือติดต่อนัดคิวรับบริการกับทางกังนัมคลินิกสามารถติดต่อได้ทาง Line: @gangnamclinic

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

skinvivebyjuvederm.
https://www.skinvivebyjuvederm.com/

fda. SKINVIVE by JUVÉDERM – P110033/S059. Content current as of:07/10/2023
https://www.fda.gov/medical-devices/recently-approved-devices/skinvive-juvederm-p110033s059