ปัญหาคอดำ คอคล้ำบอกโรคอะไร รักษาอย่างไรได้บ้าง

ปัญหาคอดำ คอคล้ำ มีวิธีแก้อย่างไร

ปัญหาคอดำ หรือ รอยปื้นดำตรงบริเวณลำคอ เป็นเรื่องที่สามารถสร้างความลำบากใจและลดความมั่นใจให้ใครหลายๆ เพราะอาจทำให้เสียบุคลิกภาพ แถมยังทำให้กลายเป็นคนที่ดูไม่สะอาด ซึ่งวันนี้เราพามาดูสาเหตุว่าปัญหาคอดำนั้นเกิดจากอะไร พร้อมหาคำตอบว่านอกจาก Picoway Laser ยังมีวิธีรักษาการรักษาอย่างไรให้รอยคล้ำที่คอนั้นจางลง และทำให้ผิวที่คอกลับมากระจ่างใสขึ้น หากอยากทราบแล้วมาเริ่มกันเลยค่ะ

คอดำ เกิดจากอะไร?

คอดำ เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง

ปัญหาคอดำ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งที่มากจากปัจจัยภายนอกของร่างกายและปัจจัยภายใน ได้แก่

  • การไม่ดูแลตัวเองหรือไม่ทำความสะอาดร่างกายจนเกิดเป็นคราบขี้ไคล ที่ฝังตัวอยู่ลึกใต้ชั้นผิวจนกลายเป็นปื้นดำๆ
  • เกิดมาจากความอับชื้นของการสวมใส่เสื้อผ้ารัดคอ หรือการใส่อุปกรณ์เครื่องประดับต่างๆที่คอ จนเกิดการเสียดสีทำให้สีผิวเริ่มหมองคล้ำ
  • เกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือผู้ที่เป็นโรคอ้วน
  • เกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งลำไส้ โรคมะเร็งตับ
  • เกิดจากการใช้ยา เช่น คุมกำเนิด ยาสเตียรอยด์
  • เกิดจากการเปลี่ยนแปลของฮอร์โมน เช่น ความเครียด อาการภูมิแพ้ ภาวะตั้งครรภ์
  • เกิดจากกรรมพันธุ์ ที่บุคคลในครอบครัวมีลักษณะคอดำ

ภาวะของอาการคอดำ

หากยังอยู่ในภาวะที่ไม่รุนแรง อาจจะรู้สึกคันหรือระคายเคืองผิวหนังและมีผิวหนังลอกเท่านั้น แต่บางรายที่อยู่ในภาวะนี้มานานอาจจะรู้ผิวรู้สึกเจ็บ แสบ หรือระคายเคืองหากอาการดังกล่างแสดงออกมากเกินไป ควรรีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน

คอดำ บอกโรคอะไรบ้าง

สำหรับผู้ที่มีคอดำแต่ไม่ได้เกิดจากการฝังตัวของคราบขี้ไคล หรือไม่ได้เกิดจากการแพ้เครื่องประดับที่คอ อาเป็นสัญญาที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้ เช่น คอดำ ที่เกิดจากระดับอินซูลินที่สูงมากจนเกินไป จึงไปกระตุ้นเซลล์ผิว ซึ่งเรียกผิวหนังลักษณะนี้ว่า (Acanthosis Nigricans) หากเมื่อมีปัญหาปื้นหรือรอยดำที่ตรงบริเวณคอนั่นจะสามารถบ่งบอกได้ว่าผู้ป่วยนั้นอาจมีน้ำหนักตัวที่สูงมาก เพราะฉะนั้นจึงมักพบผู้ที่มีรอยดำที่คอในกลุ่มของคนอ้วน หรือในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และผู้ป่วยที่มีคงามผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางอย่างได้แก่ โรคมะเร็งระบบทางเดินอาหารเป็นต้น

14 วิธีแก้คอดำ

ภาวะ คอดำ หรือที่ทางการแพทย์จะเรียกกันว่า Acanthosis Nigricans เป็นอีกหนึ่งโรคผิวหนังที่มีลักษณะทำให้ผิวดำ คล้ำ หนา และอาจมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเราสามาถแก้ไขได้ด้วยวิธีต่างๆดังต่อไปนี้

1. การลดน้ำหนัก

ลดน้ำหนักตัว

ส่วนใหญ่ปัญหาคอดำ มักเกิดกับ คนอ้วน หรือคนที่มีน้ำหนักตัวมาก ดังนั้นการลดความอ้วนจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพราะฉนั้นผู้ที่มีปัญหานี้รีบควบคุมน้ำหนักตัวด้วยการลดอาหารหวาน ของทอด ของมัน อาหารประเภท แป้ง ข้าว น้ำตาล เน้นโปรตีนกับผัก รวมถึงควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ภาวะดื้อต่ออินซูลินค่อย ๆ ลดลง และยังช่วยให้ปัญหาคอดำ ก็จะสามารถหายไปได้เองอย่างถาวร

2. ขัดหรือสครับผิวคอ

การขัดผิวในระหว่างอาบน้ำทุกวันเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาต้นคอดำได้ แนะนำให้ทำอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยแนะนำใช้สูตรสครับผิวแบบธรรมชาติ เพื่อป้องกันการระคายเคืองของผิว เช่น เกลือขัดผิว มะขามเปียก หรือน้ำตาลผสมมะเขือเทศ ไม่ควรผิวแบบรุงแรง ควรขัดเบาๆ แค่นี้ก็สามารถผลัดเซลล์ผิวเก่าให้ลดออกไป เพียงเท่านี้ก็สามารลดรอยดำได้เป็นอย่างดี

3. ทาเบบี้ออลย์ที่คอ

การใช้เบบี้ออยล์ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถทำให้รอยดำดูจางลงไปได้ เพียงแค่นำเบบี้ออยล์มาหยดใส่สำลีแล้วนำมาเช็ดตรงบริเวณรอบๆ ลำคอ เพื่อเป็นการขจัดคราบขี้ไคล หรือคราบดำๆ ที่ติดอยู่ที่คอให้ออกไปได้ แต่ถ้าไม่มีคราบติดออกมา อาจจะแปลว่าคอดำเกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงหรือเป็นโรคผิวหนังช้างได้

4. รักษาความสะอาดบริเวณคอ

การรักษาความสะอาดเป็นวิธีการรักษาคอดำที่ง่ายที่สุด เพียงแค่ทำความสะอาดบริเวณคอหลังการอาบน้ำเสมอ ด้วยการนำสำลีก้อนมาชุบน้ำมันมะกอก ที่มีไว้สำหรับการทำความสะอาดผิว เช็ดตรงบริเวณลำคอให้ทั่ว เพื่อช่วยให้วิตามินและสารบำรุงผิวได้ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย ซึ่งวิธีนี้เมื่อทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจะช่วยลดรอยดำให้ดูจางลงได้

5. ขัดคอด้วยผงขมิ้น

การขัดด้วยผงขมิ้น เป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดคราบดำ ลดปัญหาคอคล้ำได้ แต่จำเป็นจะต้องขัดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นในขณะที่อาบน้ำ เพื่อช่วยให้ครบขี้ไคลหรือเซลล์ผิวที่ตายหลุดออกมา เนื่องจากขมิ้นมีสรรพคุณช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวล ขาวผ่องใส โดยเน้นขัดที่บริเวณต้นคอให้มากๆ เพียงเท่านี้สามารถช่วยให้รอยดำลดเลือนได้

6. ทาคอด้วยมันฝรั่ง

ใช้มันฝรั่งทาคอ

การใช้มันฝรั่งทาตรงรอยดำ จะช่วยในการทำให้ผิวขาวกระจ่างใสมากขึ้น แถมยังช่วยลดผิวคอที่คล้ำหมอง ให้ผิวกลับมาสดใสกว่าเดิม โดยนำอามันฝรั่งมาคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นเอามาพอกไว้ตรงรอยดำที่คอรอให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำวันละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยให้ผิวเร่งการฟื้นฟูได้เร็วขึ้น

7. มาสก์คอด้วยแอปเปิลไซเดอร์

การมาสก์ด้วยน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นการช่วยปรับค่า pH ให้กับผิวหนัง เพื่อให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากในน้ำส้มสายชูมีกรดมาลิกที่สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังให้กลับคืนสู่สภาพได้ดี

8. พอกคอด้วยโยเกิร์ต

การพอกด้วยโยเกิร์ต เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยจากธรรมชาติ ที่สามารถช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้นอีกครั้ง เพราะว่าในโยเกิร์ตมีเอนไซม์ตามธรรมชาติ ที่มีคุณประโยชน์เหมือนกับกรดที่อยู่ในมะนาว จึงเป็นข้อดีที่สามารถช่วยบำรุงผิวพรรณให้เรียบเนียนได้ใหม่

9. ใช้โทนเนอร์บำรุงผิวคอดำ

การใช้โทนเนอร์ หรือ สกินแคร์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยม ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำเป็นสเต็ปถัดมาจากการทำความสะอาดผิว เพื่อช่วยเช็ดคราบสิ่งสกปรกที่ฝังตัวอยู่บนผิวหนังให้หลุดออกได้ง่ายขึ้น เป็นการช่วยปรับค่า pH บนผิวให้สมดุล ช่วยบำรุงผิวหนังให้ชุ่มชื้นขึ้น และช่วยให้ภาวะคอดำเลือนลางลงได้

10. ทาครีมแก้คอดำ

ทาครีมแก้คอดำ

เป็นวิธีที่หลายๆเลือกใช้ การทาครีมแก้คอดำทาที่บริเวณต้นคอ เพื่อช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสและช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย ซึ่งควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินต่างๆ อาทิเช่น วิตามิน A วิตามิน C วิตามิน กรดผลไม้ AHA และ สารไวท์เทนนิ่งที่มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวกระจ่างใส ซึ่งแนะนำให้ทาบริเวณลำคอทุกวันเช้าเย็นเพื่อช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น

11. เช็ดต้นคอด้วยน้ำมะนาว

ในกรณีที่ต้องเช็ดผิวด้วยน้ำมะนาว บุคคลนั้นควรมีต้นคอที่ดำมากๆ ทำก่อนอาบน้ำควรใช่สำลีชุบน้ำมะนาวสด และถูเบาๆตรงบริเวณต้นคอ เพื่อให้กรดธรรมชาติในน้ำมะนาวช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปเอง ทำแบบนี้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และจะเห็นได้ว่ารอยดำดูจางลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน

12. เลเซอร์แก้คอดำด้วย PicoWay

picoway laser ปรับผิวคอ

การเลเซอร์แก้คอดำด้วย PicoWay Laser (Candela, USA) ที่มีฟังก์ชั่นเน้นการกำจัดเม็ดสีผิว ด้วยการใช้พลังงานสูงในระยะเวลาที่สั้น มีหน่วยเป็น Picosecond (หนึ่งในล้านล้านส่วนของหนึ่งวินาที) ส่งผ่านพลังงานด้วยความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร ที่ลงลึกสู่ใต้ผิวได้ถึง 7 มิลลิเมตร จึงทำให้เม็ดสีส่วนเดินที่ฝังตัวอยู่ใต้ผิวแตกตัวได้ละเอียดมากมๆ จนทำให้รอยโรคจางหายได้เร็วและเห็นผลที่ชัดเจนกว่าวิธีอื่น แต่ในระหว่างทำมีความเจ็บน้อย เป็นการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวมีความเนียนขาวกระจ่างใสได้แบบเร่งด่วน ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นที่เห็นผลชัดเจน และสามารถแก้คอดำได้รวดเร็วที่สุด

13. งดใส่สร้อยคอ

ในบางครั้งการสวมใส่เครื่องประดับหรือสร้อยคอก็อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง หรือเกิดอาการแพ้จนทำให้คอดำได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเพื่อลดการเสียดสี และลดการอัดเสบได้ดี ควรงดใส่สักระยะหนึ่งเพื่อช่วยให้ในระหว่างนี้ผิวหนังจะได้ทำการฟื้นบำรุงผิวและสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้คอที่ดำให้กลับมามีสภาพผิวเดิมได้เร็วขึ้น

14. ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดเซลล์ผิว AHA, BHA

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร AHA, BHA ซึ่งเป็นสารสกัดที่มีการออกกฤทธิ์จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า (Exfoliate) และลดการอุดตันในผิวหนัง เพื่อให้ได้ผิวใหม่ที่ดูกระจ่างใสขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว (Glycolic Acid) และให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้เป็นอย่างดี

วิธีดูแลตัวเองป้องกันอาการคอดำ

คอดำสามารถป้องกันได้ ดังนั้นใครที่ต้องการลดความเสี่ยงที่ต้องเจอกับความหมองคล้ำที่คอ สามารถปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้

  • ควรคุมน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดแป้ง ข้าว น้ำตาลเน้นทานโปรตีนกับผัก เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดคอดำได้
  • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างการสามารถขับของเสียในร่างกาย และสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวออกไปได้มากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการสวมใส่สร้อยคอประดับ เพื่อป้องกันการเสียดสี จนเกิดอาการแพ้ อาการระคายเคืองและลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คอดำ
  • สครับขัดผิวบริเวณต้นคอ เพื่อช่วยในการผลัดเซลล์ผิวอย่างน้อย 3 ครั้งต่อเดือน
  • ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีสาร AHA, BHA และ whitening เพื่อบำรุงให้ผิวหนังชุ่มชื้น และทำให้ผิวหนังมีความกระจ่างใสอยู่เสมอ
  • ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะมีรังสี UVB อยู่เข้มข้น จึงทำให้ผิวถูกเผาไหม้ได้มาก
  • ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงหากยังไม่หายผิวดำคล้ำที่คอ เพื่อช่วยวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

สรุปคอดำควรรักษาอย่างไร

ในปัจจุบันยังไม่มีตัวยา หรือการรักษาภาวะคอดำจำเพาะนี้ให้หายขาดได้ แต่หากมีการดูแลตัวเอง ควบคุมน้ำหนัก หรือช่วยลดน้ำหนักลงได้ตามความเหมาะสมแล้วละก็ภาวะคอดำ ก็จะค่อย ๆ หายไปได้เองตามธรรมชาติ นอกจากนี้คนไข้ยังควรเข้าตรวจคัดกรองโรคเบาหวานซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อจะช่วยดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม แต่หากใครที่ไม่ได้มีโรคประจำตัวและต้องการเห็นผลลัพธ์อย่างเร่งด่วน การเลเซอร์ PicoWay ถือเป็นตัวช่วยที่จะจบปัญหาเหล่านี้ได้อย่างตรงจุด

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง