ทรีทเม้นท์หน้าใส คืออะไร? ทำแล้วดีจริงไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

ทรีทเม้นท์หน้า

อีกหนึ่งหัตถการยอดฮิตครองใจสาวๆ หลายคน นั่นก็คือการทำ “ทรีทเม้นท์หน้า” นั่นเอง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการบำรุงและดูแลผิวของเราได้อย่างล้ำลึกกว่าการทาครีมธรรมดา แต่แน่นอนว่าความจริงแล้วการทำทรีทเม้นท์หน้านั่นช่วยเรื่องอะไร และทำแล้วคุ้มค่าคุ้มราคาที่ต้องจ่ายจริงหรือไม่ในบทความนี้เราจะมาให้คำตอบนั้นกัน

ทรีทเม้นท์หน้า คืออะไร?

เป็นหนึ่งในกระบวนการฟื้นฟูดูแลและซ่อมแซมผิวหน้าด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยทำให้วิตามินและสารบำรุงในทรีทเม้นท์สามารถซึมลงสู่ชั้นผิวได้ดีและไวกว่าการทาครีมแบบทั่วไป ทำให้เซลล์ผิวสามารถรับสารบำรุงได้อย่างเต็มที่ส่งผลให้ปัญหาผิวต่างๆ ที่มีถูกรักษาได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ทรีทเม้นท์หมายถึงอะไร

คำว่า “ทรีทเม้นท์ (Treatment)” ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษหมายถึง การบำบัด การรักษา การเยียวยา การดูแล ซึ่งนี่ถือเป็นเหตุผลที่หัตถการทรีทเม้นท์หน้าส่วนใหญ่นั้นเน้นไปที่การบำรุงและฟื้นฟูผิวหน้า ผิวกาย ด้วยวิธีทางการแพทย์ต่างๆ นั่นเอง

ทรีทเม้นท์หน้าช่วย เรื่องอะไรบ้าง?

ทรีทเม้นท์หน้าช่วยเรื่องอะไร

การทำทรีทเม้นท์หน้านั้นถือเป็นศาสตร์แห่งการดูแลและฟื้นฟูผิวหน้าอย่างหนึ่งที่มีจุดช่วยในการช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ มากมายอาทิเช่น

  • ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวมีความฉ่ำวาว สุขภาพดีจากภายใน
  • ช่วยปรับให้ผิวเนียนนุ่มกระจ่างใส
  • ช่วยฟื้นฟูบำรุงเซลล์ผิวที่เหนื่อยล้า ให้กลับมาแข็งแรงยิ่งขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของผิวรวมถึงระบบไหลเวียนเลือด
  • ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ร่องลึก
  • ช่วยลดรอยสิวรอยดำรอยแดง
  • ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เก่าแล้วให้หลุดออกไปเผยเซลล์ผิวใหม่ที่สุขภาพดีพร้อมรับสารบำรุง

ทรีทเม้นท์หน้า มีอะไรบ้าง?

ด้านการทำทรีทเม้นท์หน้านั้นมีให้เลือกด้วยกันหลายวิธีขึ้นอยู่กับสภาพผิว รวมไปถึงความต้องการของคนไข้เองว่าต้องใช้ฟื้นฟูผิวด้วยนวัตกรรมแบบใด โดยปัจจุบันมีนวัตกรรมทรีทเม้นท์หน้ายอดฮิตดังนี้

  • การใช้เครื่องผลักวิตามินเข้าผิว
  • การผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกไปไว้ยิ่งขึ้นด้วยสารเคมี
  • การนวดหน้ากระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง
  • การใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ในการเข้าช่วยยกกระชับผิว
  • การใช้แสงเลเซอร์ในการช่วยผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว
  • การใช้คลื่นวิทยุเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว
  • การใช้เครื่องในการช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและรูขุมขน

แนะนำหัตถการทรีทเม้นท์หน้า ยอดนิยมในปัจจุบัน

ต่อไปเรามาดูกันบ้างว่าที่มีหัตถการทำทรีทเมนท์หน้าอันไหนบ้างที่เป็นที่ยอดนิยม และแต่ละหัตถการนั้นมีหลักการทำและจุดเด่นในเรื่องการแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างไรบ้าง

1. ทรีทเมนต์หน้าด้วยคลื่น RF

คลื่น RF หรือ คลื่นวิทยุ (Radio-frequency therapy) เป็นการใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ 0.3 – 0.5 MHz (เมกะเฮริตซ์) ที่ถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนเข้าไปช่วยกระตุ้นทำให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินให้เพิ่มขึ้น ส่งผลผิวหน้ามีความกระจ่างใสขึ้น ริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ ดูจางลง รวมถึงสามารถช่วยปรับยกกระชับใบหน้าให้มีความเรียวเข้ารูปได้อีกด้วย ซึ่งตัวเครื่องที่ใช้คลื่นวิทยุในการช่วยกู้ปัญหาผิวคือ “เครื่อง Super Lifing”

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย มีผิวที่หย่อนคล้อยในระดับที่ไม่รุนแรงมากนัก
  • การเห็นผลลัพธ์ : สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำประมาณ 10-15% ขึ้นอยู่กับสภาพและความหนักเบาของปัญหาผิวซึ่งแนะนำให้ทำติดต่อกัน 2-4 ครั้งในระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ต่อครั้ง
  • ราคา : 1,500 บาท / ครั้ง

2. ทรีทเมนต์ยกกระชับผิวด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์

เป็นอีกหนึ่งคลื่นที่ถูกนำมาใช้ในการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นอ่อนเยาว์ ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึกรวมไปถึงช่วยปรับกรอบหน้าให้มีความกระชับเรียวเข้ารูปได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเครื่องที่ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ในการช่วยกู้ปัญหาผิวคือ “เครื่อง Hifu และ Ulthera” โดยเครื่อง Ulthera มีพลังงานที่สูงกว่าเห็นผลได้ดีกว่า ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่าและมีราคาที่สูงกว่า Hifu เนื่องจากตัวเครื่อง Ulthera มาพร้อมกับหัวยิง 3 ระดับและหน้าจอแสดงผลทำให้สามารถยิงพลังงานลงไปได้อย่างตรงจุด

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ร่องน้ำหมาก มีผิวที่หย่อนคล้อยในระดับที่ไม่รุนแรง-รุนแรงมาก
  • การเห็นผลลัพธ์ : สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำโดยจะเริ่มเห็นผลประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังทำ แนะนำให้ทำทุกๆ 6 เดือน
  • ราคา : Hifu 7,000-35,000 บาทต่อครั้ง / Ulthera 20,000-60,000 บาทต่อครั้ง

3. การผลักวิตามิน New Pora Cool

เป็นทรีทเม้นท์การผลักวิตามินเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างดีและรวดเร็วทำให้เซลล์ผิวได้รับสารบำรุงอย่างเต็มที่ เปิดจุดเด่นของเครื่องนี้คือการใช้หลักการ 3 แบบ ในการช่วยผลักวิตามินเข้าสู่ชั้นผิว

Cool Mesoporation : การใช้พลังงานความเย็นในการผลักเอาวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เข้าสู่ชั้นผิว ซึ่งหลักการนี้จะลดโอกาสการเกิดการระคายเคือง และช่วยป้องกันปัญหาผิวบางได้ดีกว่าการใช้ พลังงานความร้อนในการรักษา

Light Therapy : เป็นการใช้แสง LED เข้ามาช่วยผลักเอาวิตามินต่างๆ สู่ชั้นผิว ซึ่งตัวแสงจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 สีโดยแต่ละสีก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป

  • สีแดง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน กู้ปัญหาผิวโทรม ช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ได้ดีและช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า
  • สีเหลือง จะช่วยปรับผิวให้มีความสว่างขึ้น และช่วยทำให้สีผิวมีความสม่ำเสมอกัน
  • สีน้ำเงิน ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทำให้สิวยุบตัวไว และช่วยลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำ

Electroporation : เป็นการใช้ประจุไฟฟ้าในการช่วยเปิดเซลล์ผิว ทำให้เซลล์ผิวสามารถ รับสารบำรุงต่างๆได้ดีมากยิ่งขึ้น

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่มีปัญหาสิว มีปัญหาผิวหมองคล้ำมีปัญหาผิวแห้งกร้านขาดความชุ่มชื้นรวมถึงผู้ที่มีปัญหาผิวอ่อนแอ
  • การเห็นผลลัพธ์ : สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรก แนะนำให้ทำติดต่อกัน 2-4 ครั้งในระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์ต่อครั้ง
  • ราคา : 1,500 บาท/ครั้ง

4. การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) เป็นการใช้สารเคมีเข้ามาช่วยในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกให้หลุดร่วงออกไปซึ่งเมื่อเซลล์ผิวชั้นนอกหลุดออกไปแล้วก็จะทำให้พวกปัญหาสิว รอยแผลเป็นจากสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำต่างๆ บนผิวค่อยๆ หลุดออกไปด้วย จึงทำให้สามารถเผยเซลล์ผิวใหม่ที่เนียน กระจ่างใสนั่นเอง

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่มีปัญหาสิว รอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำต่างๆ รวมถึงผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย เพียงเล็กน้อย
  • การเห็นผลลัพธ์ : จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 1-3 เดือนหลังทำ เนื่องจากเป็นวิธีการใช้สารเคมีความเข้มข้นน้อยค่อยๆ เข้าทำให้เซลล์ผิวหลุด
  • ราคา : 1,000-3,000 บาท

5. ทรีทเม้นท์ทำความสะอาดผิว Turbo Bright

เป็นนวัตกรรมการช่วยทำความสะอาดผิวด้วยการใช้การฉีดพ่นสารน้ำและออกซิเจนแรงดันระดับเทอร์โบที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ให้เข้าไปช่วยทำความสะอาด ผิวรูขุมขน รวมไปถึงเข้าไปกำจัด เซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวมีความกระจ่างใสและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ช่วยกำจัดเม็ดสีหมองคล้ำ ช่วยลดโอกาสการเกิดสิว นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ดีอีกด้วย

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำไม่กระจ่างใส มีปัญหาการเกิดสิวบ่อยครั้ง
  • การเห็นผลลัพธ์ : หลังจากทำครั้งแรก คนไข้จะรู้สึกได้เลยว่าผิวมีความเนียนและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น รู้สึกว่าผิวหน้ามีความสะอาด และช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ดี ซึ่งทรีทเม้นท์ประเภทนี้แนะนำให้ทำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น
  • ราคา : 1,000 บาท/ครั้ง

6. ทรีทเม้นท์ด้วยแสงเลเซอร์

อีก หนึ่ง นวัตกรรมยอดฮิตที่จะใช้แสงเลเซอร์ในการเข้าไปช่วยแก้ปัญหาผิวได้ลึกถึงชั้นผิวด้านใน หลักการการยิงคลื่นแสงลงไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ตัวเครื่องเลเซอร์บางเครื่องยังช่วยดักจับทำลายเม็ดสีในชั้นผิวต่างๆได้ดีอีกด้วย ซึ่งทรีทเม้นท์ด้วยแสงเลเซอร์ที่กังนัมคลินิกแนะนำมี 2 เครื่องดังนี้

เลเซอร์ Dual Yellow

เป็นเครื่องเลเซอร์จากประเทศออสเตรเลีย ที่จะใช้หลักการฟื้นฟูเซลล์ผิวด้วยแสงบำบัด โดยตัวเครื่องนี้จะมีแสงถึง 2 ชนิดด้วยกันคือ แสงสีเหลืองที่มีความยาวคลื่น 578 นาโนเมตร มีส่วนช่วยในการรักษารอยแดง อาการเส้นเลือดผิดปกติ กับแสงสีเขียวที่มีความยาวคลื่น 511 นาโนเมตรที่จะช่วยรักษารอยดำและอาการอักเสบของผิว

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่มีปัญหารอยสิว รอยดำ รอยแดง รอยแผลเป็น รวมไปถึงมีปัญหาเห็นเส้นเลือดฝอยบนหน้าชัด รวมไปถึงผู้ที่มีรอยแตกลายๆ ต่างๆ
  • การเห็นผลลัพธ์ : กับสภาพปัญหาของคนไข้ เช่นหากต้องรักษารอยแดงจะใช้การทำเพียง 1-2 ครั้ง ก็จะเริ่มเห็นผลแต่หากต้องรักษารอยดำรอยแผลเป็นรวมถึงต้องการปรับผิวให้มีความกระจ่างใสแนะนำให้ทำอย่างน้อย 5-6 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อครั้ง
  • ราคา : 3,500 บาท/ครั้ง

อ่านบทความเพิ่มเติม : เจาะลึก Dual Yellow Laser คืออะไร เหมาะกับใคร เทียบกับเครื่องตัวอื่นๆ เป็นอย่างไร

เลเซอร์ PicoWay

เป็นการใช้แสงเลเซอร์ในหน่วย Picosecond ที่มีคลื่นแสงสั้นที่สุด ทำให้สามารถลงไปทำลายเม็ดสีในชั้นผิวได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด นอกจากนั้นยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ได้ดีกว่าเครื่องเลเซอร์แบบอื่นๆ จึงทำให้ตัวเครื่องนี้สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็นจากสิว หลุมสิว รูขุมขนกว้าง รวมไปถึงปัญหาริ้วรอยร่องลึกต่างๆ

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่ต้องปรับรูขุมขนให้กระชับขึ้น ต้องการรักษาหลุมสิว ริ้วรอย รวมไปถึงต้องลบ จุดด่างดำต่างๆ บนใบหน้า
  • การเห็นผลลัพธ์ : เนื่องจากตัวเครื่องมีค่าพลังสูงจึงทำให้ ปัญหาเม็ดสี ฝ้า กระ รอยสิวต่างๆ สามารถจางขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่หากต้องการผลลัพธ์ในเรื่องของการรักษาหลุมสิว ริ้วรอย แนะนำให้ทำติดต่อกัน 3-5 ครั้งขึ้นไป
  • ราคา : 4,500 บาท/ครั้ง

อ่านบทความเพิ่มเติม : Picoway Laser คืออะไร? ดีจริงไหม? ใช้เลเซอร์แก้ปัญหาจุดไหนได้บ้าง

7. เมโสหน้าใส

การทำเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการส่งวิตามิน สารบำรุงต่างๆที่มีประโยชน์ต่อผิวเข้าสู่ชั้นผิวได้ด้วยวิธีการฉีดหรือการสะกิด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เซลล์ผิวชั้นในสามารถดูดซึมเอาสารบำรุงต่างๆนำไปใช้ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังมียี่ห้อเมโสมากมายให้ได้เลือกตามความต้องการเช่น Mede Collagen, Meso Blink, Pink Venom และ Crystal DNA เป็นต้น

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่มีปัญหาผิวโทรม ผิวเป็นสิว ผิวมัน หรือผู้ที่ต้องการปรับผิวหน้าให้มีความกระจ่างใสเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
  • การเห็นผลลัพธ์ : จะสามารถเริ่มเห็นผลได้ภายใน 1 อาทิตย์หลังฉีด โดยจะสังเกตได้ว่าผิวมีความเรียบเนียนเปล่งปลั่งกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น และแนะนำให้ทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-5 ครั้งหรือทำเป็นประจำทุกเดือนเพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนาน
  • ราคา : เริ่มต้น 1,200 บาท/ครั้ง

7. Skin Booster

เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่มีหลักการในการฟื้นฟูผิวด้วยการฉีด โดดจุดเด่นของ Skin Booster เลยก็คือการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมโทรมหรืออ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ปัญหาผิวต่างๆ ค่อยๆ ถูกรักษาได้จากเซลล์ภายในผิว จึงทำให้ใบหน้ามีความกระจ่างใส อ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติและเช่นกันในปัจจุบัน Skin Booster มีหลายแบรนด์ให้เลือกแต่ที่นิยมมี Exosome, Diorr และ Channel

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็กน้อย มีปัญหาฝ้า กระ ผิวหมองคล้ำ ผิวโทรม ผิวขาดความชุ่มชื้น
  • การเห็นผลลัพธ์ : หลังจากฉีดครั้งแรกจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงว่าผิวมีความอิ่มฟู เปล่งปลั่งสุขภาพดีขึ้น ซึ่งแนะนำให้ฉีดเดือนละ 1 ครั้งหรือมากกว่านั้นตามคำแนะนำของแพทย์
  • ราคา :Exosome 9,966 บาทต่อครั้ง/ Diorr 3,696 บาทต่อครั้ง/ Channel 5,696 บาทต่อครั้ง

อ่านบทความเพิ่มเติม : Skin Booster คืออะไร? เลือกฉีดตัวไหนดี ราคาแพงไหม?

8. ฉีดวิตามินผิวขาว

เป็นอีกวิธีในการช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในด้วยวิธีการดริปวิตามินเข้าสู่เส้นเลือด ทำให้ตัววิตามินต่างๆ ถูกร่างกายดูดนำไปใช้ได้ไวกว่าการทาครีมและการทานอาหารเสริม ซึ่งในปัจจุบันมีได้สูตรดริปวิตามินอยู่หลายสูตรแต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การปรับความกระจ่างใส ลดรอยดำ เพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย

  • เหมาะกับใคร : ผู้ที่ต้องการเติมวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ต้องการลดรอยแผลเป็นเพิ่มความกระจ่างใส
  • การเห็นผลลัพธ์ : หลังฉีดครั้งแรกจะรู้สึกว่าผิวหน้าและกายมีความนุ่มลื่น กระจ่างใส อิ่มฟูขึ้นประมาณ 10-15% ซึ่งแนะนำให้ทำเดือนละ 1 ครั้งติดต่อกัน 5 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นผลลัพธ์แบบชัดเจนที่สุด
  • ราคา : เริ่มต้น 500-5,500 บาท/ ครั้ง

อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดวิตามินผิว ดีไหม ก่อนฉีดผิวขาวครั้งแรก ควรรู้อะไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายหลังฉีด

ทรีทเม้นท์หน้า ควรทำกี่ครั้ง?

การจัดทำทรีทเม้นท์หน้าให้เห็นผลลัพธ์แบบชัดเจนนั้น ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ถึง 5 ครั้งขึ้นไป และสิ่งสำคัญเลยก็คือความสม่ำเสมอในการทำ โดยในระยะแรกควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์หรือ 1 เดือน จากนั้นสามารถเว้นระยะห่างเป็น 2 อาทิตย์ 1 ครั้งหรือเดือนละครั้งได้แล้วแต่ความต้องการของคนไข้

ทรีตเม้นต์หน้าใส ราคาเท่าไหร่

เลือกทำทรีทเม้นท์หน้าที่ไหนดี

ในการทำทรีทเม้นท์บำรุงผิวหน้านั้นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่หลายๆคนต่างพากันมองข้ามนั่นก็คือการเลือกคลินิก เพราะในปัจจุบันมีคลินิกความงามมากมายหลายแห่งซึ่งมีทั้ง คลินิกที่ได้คุณภาพและไม่มีคุณภาพซึ่งวิธีการเลือกมีดังนี้

  • คลินิกจะต้องมีหน้าร้านหรือที่ตั้งสาขาแบบชัดเจน ไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่หรือย้ายที่ตั้งสาขาบ่อย
  • คลินิกจะต้องเปิดให้บริการโดยได้รับการอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการคลินิก
  • คลินิกจะต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประจำทุกสาขาที่เปิดให้บริการ และจะต้องเป็นแพทย์ ที่เป็นผู้ทำหัตถการให้คนไข้
  • คลินิกจะต้องมีการใช้อุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์รวมไปถึงตัวเครื่องทำทรีทเม้นท์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องของแท้และได้การรับรองความปลอดภัยจากทางอย.เรียบร้อยแล้ว
  • คลินิกจะต้องมีการระบุราคาค่ารักษาหัตถการต่างๆ ให้แน่ชัด
  • คลินิกควรมีช่องทางการติดต่อไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ประจำสาขา โซเชียลมีเดียที่สามารถติดต่อได้ง่าย

สรุป

การทำทรีทเม้นท์ถือเป็นหัตถการที่ช่วยฟื้นฟูและแก้ปัญหาผิวได้อย่างมากมาย เช่น การเติมความชุ่มชื้น การแก้ปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย การรักษาสิว รักษารอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำ ฝ้า กระต่างๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับตัวเครื่องและนวัตกรรมที่ใช้ โดยในปัจจุบัน ก็ได้มีเครื่องนวัตกรรมออกมา ให้เลือกหลายแบบ
ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ การใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์หรือคลื่นวิทยุในการช่วยยกกระชับผิว การผลักวิตามินเข้าสู่ผิว หรือแม้แต่การฉีดวิตามินเพื่อเข้าไปฟื้นฟูผิวถึงผิวชั้นลึก โดยแต่ละ นวัตกรรมนั้นต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไปดังนั้นจึงควรทำการศึกษาข้อมูลของแต่ละนวัตกรรมให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำ หรือเข้าปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาของตัวเอง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง